ข่าวการเข้ามาเทกโอเวอร์ทีม ‘สาลิกาดง’ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด จากกลุ่มทุนซาอุดีอาระเบีย ที่ขอซื้อสโมสรดังแห่งนอร์ธอีสต์ต่อจาก ไมค์ แอชลีย์ ด้วยมูลค่า 300 ล้านปอนด์ เป็นข่าวดีที่สุดในรอบ 13 ปีของเหล่าสาวก ‘ทูนอาร์มี’ ที่เฝ้ารอคอยใครสักคนที่จะมาปลดแอกพวกเขาจากเจ้าของสโมสรที่เลวร้ายที่สุดมานาน
แต่ดูเหมือนการเทกโอเวอร์ครั้งนี้อาจจะไม่ได้ราบรื่นและสวยงามเหมือนอย่างที่คิด เมื่อความพยายามในครั้งนี้ถูกมองว่ามีความน่าเคลือบแคลงสงสัย
โดยเฉพาะการส่งจดหมายถึงพรีเมียร์ลีกโดยตรงของ Amnesty International ที่มองว่าการเทกโอเวอร์ครั้งนี้มีเจตนาที่จะใช้เกมกีฬาเป็นเครื่องมือในการชำระล้างตัวเองของซาอุดีอาระเบีย
เช่นกันกับการต่อต้านอย่างสุดตัวของ beIN SPORTS สถานีโทรทัศน์กีฬาระดับโลกของกาตาร์ ที่เรียกร้องให้พรีเมียร์ลีกไม่อนุญาตให้ประเทศที่ทำการละเมิดลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและทุกรายการทั่วโลกอย่างรุนแรงเข้ามาเทกโอเวอร์กิจการสโมสรฟุตบอลแบบนี้
เรื่องนี้จึงนำไปสู่คำถามที่น่าสนใจมากมาย
ซาอุดีอาระเบียอยู่เบื้องหลังการเทกโอเวอร์?
ถึงแม้ว่าคนที่ออกหน้าในการเจรจาครั้งนี้คือ อแมนดา สเตฟลีย์ นักธุรกิจและที่ปรึกษาทางการลงทุนที่ได้รับการยอมรับสูงทางตะวันออกกลาง และเคยมีส่วนร่วมในการทำให้เกิดการเทกโอเวอร์ทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยกลุ่มทุนจากอาบูดาบีที่มี ชีค มานซูร์ อยู่เบื้องหลังเมื่อปี 2008 แต่คนที่เป็นกลุ่มทุนหลักในการเข้าซื้อกิจการของนิวคาสเซิลในครั้งนี้คือกลุ่มทุนจากซาอุดีอาระเบีย
โดยกองทุน Saudi’s Public Investment Fund (PIF) คือกลุ่มทุนหลักของการเข้าเทกโอเวอร์ในครั้งนี้ด้วยเงินทุนถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของ 300 ล้านปอนด์ ส่วนที่เหลือเป็นของสเตฟลีย์และพี่น้องรูเบน มหาเศรษฐีชาวอังกฤษ
กลุ่มพันธมิตรนี้ได้จ่ายเงินมัดจำสำหรับการเจรจาครั้งนี้ไปแล้ว 17 ล้านปอนด์ หลังจากบรรลุข้อตกลงกับเจ้าของกิจการ Sports Direct ที่เข้ามาเทกโอเวอร์ตั้งแต่ปี 2007 และประสบปัญหาในการบริหารงานมาโดยตลอด โดยเฉพาะความขัดแย้งกับแฟนๆ ของทีมที่ไม่พอใจที่แอชลีย์ ไม่เคยให้การสนับสนุนทีมอย่างที่ควรจะเป็นเลย
สำหรับกลุ่ม PIF เป็นหนึ่งในกองทุนความมั่งคั่งของชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีทรัพย์สินทั่วโลกรวมกว่า 320 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีมกุฏราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน คือผู้นำของกองทุนนี้ซึ่งมีเป้าหมายในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจผ่านโครงการที่เรียกว่า Vision 2030
ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าซาอุดีอาระเบียอยู่เบื้องหลังของการเข้าเทกโอเวอร์ในครั้งนี้
คำเตือนจาก Amnesty
อย่างไรก็ดี ความร่ำรวยเงินทองของกลุ่มทุนดังกล่าวไม่สามารถปกปิดความเลวร้ายที่ประเทศซาอุดีอาระเบียทำได้
หนึ่งในสิ่งที่พวกเขามีปัญหาและถูกกล่าวหามาโดยตลอดคือเรื่องของการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ทางด้าน Amnesty ที่ดูแลเรื่องสิทธิมนุษยชนได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงพรีเมียร์ลีก เพื่อคัดค้านเรื่องการเทกโอเวอร์ทันที
ในจดหมายที่ เคท อัลเลน ผู้อำนวยการ Amnesty ในอังกฤษ ส่งตรงถึง ริชาร์ด มาสเตอร์ส ประธานบริหารพรีเมียร์ลีกคนปัจจุบัน เตือนว่าการที่พรีเมียร์ลีกปล่อยให้ประเทศที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนมากมายอย่างซาอุดีอาระเบียเข้ามาเทกโอเวอร์สโมสรฟุตบอลได้ จะไม่ต่างอะไรจากการเป็น ‘ตราประทับ’ รับรองสถานะให้พวกเขาที่ใช้เกมกีฬาเพื่อลบล้างสิ่งที่ทำมาทั้งหมด หรือที่เรียกว่า Sportwash โดยอาศัยช่วงที่โลกกำลังสนใจแค่เรื่องของโควิด-19 รีบกระทำการเทกโอเวอร์อย่างเงียบๆ
ปัญหาคือ คำเตือนของ Amnesty อาจไม่มีน้ำหนักมากนัก เนื่องจากการเจรจามีความคืบหน้าไปมากแล้ว และเชื่อว่าในกระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติของเจ้าของสโมสรใหม่ของพรีเมียร์ลีก (Premier League’s owners’ and directors’ test) จะไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
แหล่งข่าวใกล้ชิดกับการเจรจาครั้งนี้เผยว่า ‘นายหน้า’ อย่าง อแมนดา สเตฟลีย์ ยังรู้สึกสบายใจดีกับกระบวนการทั้งหมด
beoutQ ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย คือโจรสลัดที่ขโมยลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดกีฬาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
อย่ายกเรือให้โจรสลัด
ยังมีอีกหนึ่งองค์กรที่ออกมายื่นคัดค้านการเทกโอเวอร์นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ของกลุ่มทุนซาอุดีอาระเบียในครั้งนี้คือ beIN SPORTS สถานีโทรทัศน์กีฬาระดับโลกของกาตาร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่สำคัญของพรีเมียร์ลีกจากการถือลิขสิทธิ์ฟุตบอลในหลายประเทศทั่วโลก
งานนี้ beIN SPORTS ประกาศท้ารบอย่างสุดตัว ด้วยการส่งจดหมายถึงทุกสโมสรในพรีเมียร์ลีก พร้อมระบุเหตุผลว่าทำไมซาอุดีอาระเบียที่อยู่เบื้องหลังการเจรจาเทกโอเวอร์ครั้งนี้จึงไม่ควรได้รับการอนุมัติให้เข้ามาถือครองกิจการได้
เหตุผลนั้นคือพวกเขาไม่ได้กระทำแค่การละเมิดสิทธิมนุษยชน หากแต่ยังเป็นผู้ละเมิดลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายใหญ่ของโลกที่กระทำการอย่างหน้าไม่อายตลอดช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหนึ่งในรายการกีฬาที่มีความนิยมสูงสุดอย่างฟุตบอลพรีเมียร์ลีก
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและมีผลกระทบอย่างมาก เนื่องจากซาอุดีอาระเบียมีช่องกีฬาเถื่อนที่มีชื่อว่า beoutQ (ซึ่งเป็นการล้อเลียนและยอกย้อน beIN SPORTS) ที่ลักลอบนำสัญญาณการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกจากกาตาร์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีกรณีปัญหากันไปถ่ายทอดในซาอุดีอาระเบีย รวมถึงอีกหลายประเทศในตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ยัง ‘ดูด’ สัญญาณรายการกีฬาที่ beIN SPORTS ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อซื้อลิขสิทธิ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลโลก การแข่งขันรถฟอร์มูลาวัน และอื่นๆ ไปฉายแบบไม่หวั่นเกรงความผิด โดยที่รัฐบาลซาอุดีอาระเบียเองเป็นผู้ให้การสนับสนุน (และมีสปอนเซอร์โฆษณาด้วยซ้ำ)
การละเมิดลิขสิทธิ์ของ beoutQ ทำให้ beIN SPORTS ประสบปัญหาอย่างรุนแรง ยอดรายได้จากจำนวนผู้สมัครสมาชิกในตะวันออกกลางลดลงอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องขององค์กรจนต้องมีการปรับลดพนักงานครั้งใหญ่ในปีที่แล้ว
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา beIN SPORTS ได้พยายามร้องขอความช่วยเหลือจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) และพรีเมียร์ลีก รวมถึงองค์กรกีฬาทั่วโลกเพื่อช่วยหยุดยั้ง beoutQ ที่จะเป็นการบ่อนทำลายอุตสาหกรรมกีฬาอย่างรุนแรง เพราะหาก beIN SPORTS สู้ต่อไม่ไหว นั่นหมายถึงพรีเมียร์ลีกและองค์กรกีฬาทั่วโลกเองก็จะขาดเงินรายได้จากการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดจำนวนมหาศาลด้วยเช่นกัน
การให้กลุ่มทุนจากประเทศที่กระทำผิดด้วยการหาประโยชน์จากสมบัติของตัวเองเข้ามาซื้อกิจการในวงการฟุตบอลเอง จึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะยอมให้เกิดขึ้นได้
ข้อเรียกร้องของ beIN SPORTS คือการที่ขอให้มีการตรวจสอบอย่างเข้มข้นถึงกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเทกโอเวอร์ว่าพวกเขา ‘สะอาด’ พอหรือไม่ หรือว่ามีส่วนข้องเกี่ยวกับการกระทำผิดในอดีตจนถึงปัจจุบันหรือไม่
สำหรับกระบวนการตรวจสอบของพรีเมียร์ลีกคาดว่าจะใช้เวลาอีกราว 2-3 สัปดาห์ โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบเอกสารทั้งหมด
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
- https://www.bbc.com/sport/football/52375947
- https://www.bbc.com/sport/football/52302094
- https://www.theguardian.com/football/2020/apr/21/amnesty-international-say-premier-league-risks-being-a-patsy-on-newcastle-united-takeover-football
- ไมค์ แอชลีย์ เจ้าของสโมสรนิวคาสเซิลคนปัจจุบัน ประกาศขายสโมสรมาตั้งแต่ปี 2017 โดยในปี 2018 อแมนดา สเตฟลีย์ และกลุ่มทุนจากซาอุดีอาระเบียเคยติดต่อมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่การเจรจาไม่ลุล่วง
- เชื่อว่าสเตฟลีย์จะเป็นหนึ่งในบอร์ดบริหารของสโมสร ส่วนประธานสโมสรคาดว่าจะเป็น ยาเซียร์ อัล-รูมายยาน จากกลุ่ม PIF
- ข้อมูลการละเมิดลิขสิทธิ์ของ beoutQ สามารถติดตามได้ที่ https://beoutq.tv/