คุณอาจไม่เคยได้ยินชื่อของ ‘แบคซึงอู’ (Baek Seung Woo) มาก่อน แต่ถ้าเอ่ยชื่อ ‘อาคีรา แบค’ (Akira Back) เชื่อว่านักกินที่เกี่ยวชั่วโมงชิมมาพอควรอาจเคยได้ยินชื่อนี้มาบ้าง เขาคือชายชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลี ผู้อยู่เบื้องหลังร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีกลิ่นอายความเป็นเกาหลีและอเมริกันที่โด่งดังในฝั่งอเมริกา และได้สร้างชื่อเสียงจากการปลุกปั้นร้านอาหารจนโด่งดัง ถึงกับคว้า 1 ดาวมิชลินมาได้กับร้าน Dosa ในเกาหลีในปี 2017 ปัจจุบันเขามีร้านอาหารถึง 14 แห่งด้วยกันทั่วโลก ทั้งในลาสเวกัส, นิวเดลี, เกาหลี, ดูไบ ฯลฯ รวมถึงกรุงเทพฯ เชฟอาคีรา แบค ยังไปปรากฏกายร่วมสนุกทางโทรทัศน์ดวลทำอาหารกับเซเลบริตี้เชฟอย่างบ็อบบี เฟลย์ (Bobby Flay) ใน Iron Chef America มาแล้ว
แต่สูตรความสำเร็จของอาคีราอาจไม่ใช่เรื่องคุ้นเคยที่เราได้ยินจากปากเชฟทั่วไปนัก
เขาเริ่มจากการเป็นเด็กชายเกาหลีผู้คลั่งไคล้ในกีฬาเบสบอล ที่เกิดและเติบโตในครอบครัวที่พ่อแม่ค่อนข้างตามใจ เขาวางแผนย้ายไปฝึกปรือฝีมือเบสบอลที่ญี่ปุ่น แต่คุณพ่อเล็งเห็นอนาคตการศึกษาของลูกๆ จึงอพยพครอบครัวมาอยู่ในอเมริกาตอนเขาอายุได้ 14 ปี อาคีราที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้สารภาพว่า เวลาโทรศัพท์ที่บ้านดัง เขาไม่กล้าแม้จะยกหูด้วยซ้ำ
ซ้ำเมืองที่อยู่คือแอสเปน ในโคโลราโด เมืองสกีที่มีแต่คนผิวขาว ด้วยความที่สภาพแวดล้อมปกคลุมไปด้วยหิมะ อาคีราเริ่มวางจากไม้เบสบอล หันมาจับสโนว์บอร์ดที่ทำให้เขาต้องบังคับตัวเองให้ได้คุยเล่นกับเด็กคนอื่นๆ ที่ในสายตาของเขา พวกนั้นดูเจ๋ง ผมบลอนด์เกินกว่าจะมาเป็นเพื่อนเขาทั้งนั้น แต่สุดท้ายเขาก็ได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษไปพร้อมกับเล่นสโนว์บอร์ด และฝีไม้ลายกระโดดก็ดีไม่เบา จนถึงกับกลายมาเป็นนักสโนว์บอร์ดมืออาชีพ ได้แข่งรายการระดับโลกต่อเนื่องถึง 7 ปีด้วยกัน ทั้งยังได้แสดงภาพยนตร์และลงสัมภาษณ์ในนิตยสารกีฬาชื่อดังมากมาย แต่แล้ววันหนึ่งอาคีราก็ตัดสินใจละทิ้งความฝันนั้น และหาทางเติบโตขึ้นในโลกแห่งความจริง เพื่อหารายได้เลี้ยงตัวเองมากขึ้น และอยู่ด้วยลำแข้งอย่างไม่ต้องพึ่งพ่อกับแม่อีกต่อไป
อาคีราเริ่มต้นอาชีพครัวจากการทำงานใน Kenichi ร้านอาหารญี่ปุ่นในแอสเปนกับเชฟเคนอิจิ คานาดะ (Kenichi Kanada) ผู้ทำให้เขามองว่าอาชีพพ่อครัวเองก็แลดูน่าทึ่งไม่น้อย จึงขอให้เคนอิจิซังสอน แลกกับเงื่อนไขหนึ่งข้อ นั่นคือเขาต้องโกนศีรษะผมสีฟ้าของเขาขณะนั้นออก
ผมอยากเป็นพ่อครัวเพราะได้เห็นเขาพูดคุยกับแขก ถือแก้วไวน์ จิบไวน์ไปด้วย มันเท่มาก และทุกคนก็รักพ่อครัว นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมอยากเป็นเชฟ
จากวันนั้นเส้นทางในสายอาหารของเขาก็วิ่งเร็วอย่างหยุดไม่อยู่ พา แบคซึงอู ออกเดินทางไปยังแดนอาทิตย์อุทัยและยุโรป เพื่อฝึกปรือฝีมีดกับเชฟระดับปรมาจารย์ ทั้ง มาซาฮารุ โมริโมโตะ (Masaharu Morimoto), ไบรอัน นากาโอะ (Brian Nagao) และโนบุ มัตสึฮิสะ (Nobu Matsuhisa) จนได้ชื่อว่า ‘อาคีรา’ อันเป็นชื่อภาษาญี่ปุ่นที่เพื่อนของครอบครัวในญี่ปุ่นใช้เรียกเขา
จนถึงวันนี้ เชฟอาคีรา แบค ยังคงตื่นเต้นกับการทำอาหาร ทั้งยังผนวกเอาความแอ็กทีฟแบบนักกีฬามาใช้ในงานครัว ถือเป็นเชฟรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง ร้านของเขามีแขกขาประจำตั้งแต่ ปารีส ฮิลตัน, เทย์เลอร์ สวิฟต์, อีวา ลองโกเรีย ฯลฯ และเขาได้บอกเล่าเรื่องราวกับเราขณะมาเยือนกรุงเทพฯ พร้อมกับข้อเท้าที่เพิ่งบาดเจ็บจากการขึ้นสังเวียนมวย หนึ่งในศิลปะป้องกันตัวที่เชฟวัย 45 ปีคนนี้โปรดปราน
มีคนรู้จักเรื่องราวของคุณเยอะมาก ในฐานะนักกีฬาที่จับพลัดจับผลูมาจับกระทะแล้ว คุณว่าสโนว์บอร์ดกับการทำอาหารคล้ายกันบ้างไหม
ตอนเป็นนักสโนว์บอร์ด เวลากระโดดหมุนตัวแบบ 360 หรือ 540 คนจำผมได้เพราะเป็นสไตล์เฉพาะตัวของผม เหมือนกับอาหารคนจะบอกว่า “เฮ้ นั่นอาหารของอาคีรา” ผมเลยคิดว่าผมได้ทิ้งลายเซ็นเอาไว้กับทั้งสองอย่าง และหวังลึกๆ ว่ามันจะเป็นสไตล์ที่เจ๋งนะ
ที่เหมือนกันอีกอย่างคือ เรื่องของพละกำลัง เวลาเล่นสโนว์บอร์ดคุณต้องปีนเขาเยอะมากเพื่อไต่ไปถึงยอด เมื่อก่อนตอนเล่นแบบฮาล์ฟไพพ์ (Half Pipe) ไม่มีเชือกลากขึ้นไป ดังนั้นคุณต้องเดินเยอะมาก ผมเคยขึ้นลง กระโดดแล้วกระโดดอีกวันละ 40-50 รอบ นั่นช่วยผมได้มากเวลาอยู่ในครัว โดยเฉพาะเวลายืน เดินไปเดินมาทั้งวัน มันดีกว่าถ้าร่างกายคุณฟิตพอ คนชอบคิดว่าเป็นงานง่าย แต่จริงๆ แล้วเป็นเหมือนเกมท้าทายทั้งกายและใจ และที่ผมเรียกมันว่า ‘เกม’ ก็เพราะมันก็ไม่ต่างกับงาน บางครั้งก็ดี บางทีก็เฮงซวย (หัวเราะ) ผมเคยทำงานให้พ่อ เซ็นเอกสารอะไรพวกนั้น ฟังดูสบาย แต่ผมทนอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ ดังนั้นเมื่อคุณเลือกสายงานแล้ว คุณต้องแข็งแรงพอจะทำมันด้วย นั่นเป็นเหตุว่าทำไมกีฬาช่วยเรื่องงานครัวซึ่งผมภูมิใจกับมัน
ก่อนจับสโนว์บอร์ด ผมเล่นเบสบอลมาก่อน และนึกเสมอว่าในฐานะโค้ช คุณสามารถพัฒนาทีมอย่างไรได้บ้าง เพราะเมื่อทีมสมบูรณ์ ทีมจะแข็งแกร่งกว่าตัวโค้ชเสียอีก ไม่ต่างกับครูมวย ถ้าลูกศิษย์แกร่งกล้า คุณรู้ว่าเขาล้มคุณได้ทุกเมื่อ ไม่อย่างนั้นเราจะมีโค้ชไปทำไม จริงไหม ตอนนี้ผมสร้างทีมขึ้นมา ผมกลายเป็นโค้ชเสียเอง ผมต้องหาคนที่แข็งแกร่งกว่ามาช่วย ดังนั้นผมมองว่ากีฬาช่วยผมมหาศาลในการคุมงานครัว ผมเลยจ้างคนที่เก่งกว่าผมแล้วสอนเขาให้เหนือขึ้นอีก ผมอยากให้ทีมของผมเป็นแบบ “เฮ้ นายเก่งด้านนี้ คนนี้เก่งด้านนี้” นั่นแปลว่าเรามีทีมที่สมบูรณ์แบบ
พ่อโกรธ ไม่พูดกับผมอยู่ 3 ปี นั่นยิ่งทำให้ผมอยากทำให้สำเร็จ แถมทำให้ผมแกร่งขึ้น ถ้าพ่อแม่ผมสนับสนุนผมแต่แรก ผมอาจจะเลิกทำอาหารไปแล้ว
คุณชอบแข่งขันเป็นทุนเดิมในฐานะนักกีฬา แต่ในครัว คุณแข่งกับอะไร
คุณต้องแข่งกับตัวเอง มันเป็นเรื่องของความอดทน อย่างเวลาทำอาหาร ผมแข่งว่าตัวเองจะทำได้ดีขึ้นอีกไหม การแข่งขันสูงไม่น้อยในกรุงเทพฯ มีร้านอาหารดีๆ สวยๆ เต็มเลย แต่ผมมองว่าเราแตกต่าง นั่นเลยทำให้เราโดดออกมา เพราะเรารู้ว่าอะไรเด่น แล้วเราต้องแข่งอย่างไร อีกอย่างเราต้องแข่งกับอาหาร อย่างการทำซูเฟล่ (Souffle) ที่จริงๆ มันง่ายมาก แต่ก็โคตรง่ายที่จะทำมันพังด้วย พอๆ กับการหุงข้าวถ้าคุณไม่รู้วิธีนั่นแหละ
คุณเป็นคนเกาหลีที่อยู่ในอเมริกา อะไรทำให้คุณหันมาสนใจอาหารญี่ปุ่นได้
เอาจริงๆ ผมไม่เคยอยากเป็นพ่อครัวเพราะว่าชอบอาหารเลย นักเบสบอลต่างหากที่เจ๋ง นักสโนว์บอร์ดก็เท่ แต่ผมอยากเป็นเพราะได้เห็นเชฟคุยกับแขก ถือแก้วไวน์ จิบไวน์ไปด้วย มันเท่มาก และทุกคนก็รักเขา นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมอยากเป็นเชฟ เมนเทอร์ของผมอย่างเคนอิจิซัง (Kenichi Kanada) เป็นมาสเตอร์เชฟอาหารญี่ปุ่น ผมเลยมาเป็นเชฟญี่ปุ่นตามเขานั่นแหละ
สารภาพว่าตอนแรกผมกินปลาดิบไม่เป็น นั่นเป็นเหตุผลที่คนยังไม่เชื่อที่เห็นผมมาเป็นเชฟญี่ปุ่น พ่อแม่ถามผมว่า “เพราะอะไร ลูกไม่ชอบกินปลาด้วยซ้ำ” ผมก็บอกไปว่า “เชฟเท่ชะมัด และผมอยากเป็นแบบเขา” แค่นั้นแหละ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้ผมกินปลาดิบแล้ว หลงรักเลยล่ะ ดังนั้นจะว่าไปผมเริ่มมาจับอาหารด้วยเหตุผลเดียวกับที่อยากเล่นสโนว์บอร์ด นั่นก็เพราะผมอยากคูล
คุณรู้มาก่อนไหมว่างานครัวจะหนักขนาดนี้
ตอนเริ่มใหม่ๆ เหตุผลเดียวที่ผมไม่ล้มเลิกก็เพราะพ่อผมโกรธผมมาก พ่อตามใจผมตลอด แต่เขาบอกว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องโตเป็นผู้ใหญ่และรับช่วงต่อธุรกิจของที่บ้าน มันอาจเป็นเรื่องดี แต่ผมกลับไม่คิดอย่างนั้น พ่อโกรธ ไม่พูดกับผมอยู่ 3 ปี นั่นยิ่งทำให้ผมอยากทำให้สำเร็จให้พ่อดู แถมยังทำให้ผมแกร่งขึ้น ถ้าพ่อแม่ผมสนับสนุนผมแต่แรก ผมอาจจะเลิกทำอาหารไปแล้ว ดังนั้นผมโชคดีมาก ใครจะชอบล้างจานทั้งวันทั้งคืนกันล่ะ
ดังนั้นจะว่าไปผมเริ่มมาจับอาหารด้วยเหตุผลเดียวกับที่อยากเล่นสโนว์บอร์ด นั่นก็เพราะผมอยากคูล
https://www.instagram.com/p/Bu3dmV5gXAU/
แล้วแปลว่าตอนนี้คุณรักการเป็นเชฟแล้วงั้นหรือ
ตอนแรกผมโคตรเกลียดเลย สาบานว่าผมไม่ชอบเลย พับผ่าสิ แต่ตอนนี้ผมกลับหลงรักมันไปแล้ว ผมหลงรักในความอิสระหลังจากผ่านไปได้ 3 ปี และตอนนี้ผมก็สนุกกับการทำอาหารทุกวัน มันน่าตื่นเต้นมากนะอาชีพนี้ ได้เดินทางไปรอบโลก ได้ชิมอาหารไปทั่ว ได้ค้นหารสชาติใหม่ๆ ที่เอามาพัฒนาปรับใช้กับอาหารตัวเอง ค้นหาตัวเองในเวอร์ชันใหม่ๆ ที่สำคัญผมเริ่มได้ถือไวน์จิบไปคุยไปกับแขกที่มาเหมือนที่ฝันไว้แล้ว…
ถ้าคุณไม่ทำอาหารญี่ปุ่น คุณน่าจะทำอะไรอยู่ล่ะ
แล้วแต่เชฟว่าตอนนั้นผมได้ทำงานกับใครละมั้ง ตอนนั้นที่ผมทำงานกับเคนอิจิ ผมคิดว่าเขาเป็นคนบ้า มันแย่มาก แต่เขาก็เจ๋งมากด้วย ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาทำแบบนั้น เขาอาจเห็นอะไรในตัวผม เลยให้ผมลองอะไรที่ผมว่ามันดูไม่มีเหตุผล แต่นั่นทำให้ผมกลายเป็นเชฟที่เก่งขึ้น เพราะโนบุซังก็จ้างผมด้วยตำแหน่งสูงที่ต้องรับผิดชอบมากหลังจากนั้น
คุณมีเป้าหมายในการทำอาหารไหม
ตอนนี้ผมแค่อยากโตไปตามเวลาแล้วก็สนุกไปกับมัน เรียนรู้และตื่นเต้นไปกับวัตถุดิบใหม่ๆ โดยเฉพาะเมื่อได้ชิมรสชาติแปลกใหม่หรือเทคนิคใหม่ๆ ที่ไม่คาดฝันเวลาออกเดินทาง เหมือนตอนมาไทยคราวก่อน ผมเห็นคนครัวในร้าน Siam Tea Room เอาปลาตากแห้งตัวจิ๋วๆ มาดอง แล้วเอามากินเป็นของกินเล่น มันน่าทึ่งมาก ผมยืนดู ทึ่งอยู่ตั้งนาน อะไรแบบนั้นแหละเป้าหมายของผม
คุณมีชื่อเสียง แต่คุณประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง
ผมคิดว่าผมประสบความสำเร็จ เพราะทีมงานทุกคนมีความสุข มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าคุณมีลูกน้องเยอะ แต่อยู่ที่ว่าพวกเขาอยู่กับคุณเพราะอะไร และได้พัฒนาอะไรบ้างไหม ทีมหลักๆ ของผมอยู่กับผมมา 12-13 ปีแล้ว และผมมองว่านั่นคือความสำเร็จ แม้คนจะมองว่าต้องมองที่รายได้หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ใครสนกันล่ะ สำหรับผม ทีมสำคัญที่สุด เพราะถ้าผมเปิดร้านใหม่แล้วเป็นไปอย่างราบรื่น ก็ต้องให้เครดิตพวกเขาด้วย แต่ถ้าถามว่าผมประสบความสำเร็จและเป็นเศรษฐีพันล้านไหม ไม่เลย พับผ่าสิ ผมไม่มีเงินหรอก!
ผมคิดว่าผมประสบความสำเร็จ เพราะทีมงานทุกคนมีความสุข มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าคุณมีลูกน้องเยอะ แต่อยู่ที่ว่าพวกเขาอยู่กับคุณเพราะอะไร และได้พัฒนาอะไรบ้าง
การได้เติบโตขึ้นเป็นจุดมุ่งหมายของคุณ แต่คุณไม่กลัวเหรอ ถ้าเปิดร้านเยอะเกินไปแบบ เจมี โอลิเวอร์ คุณก็พลาดเอาได้ง่ายๆ
แน่นอน ผมมองว่าจริงและไม่จริง คิดดูนะ คุณมีโอกาสในการทำเงินมากขึ้น แต่ก็มีโอกาสพอๆ กันที่จะทำมันพังไม่เป็นท่า ดังนั้นเราต้องระวังให้มาก
คุณกำลังมีโปรเจกต์ใหญ่ในปี 2019 คุณบอกอะไรเราได้บ้าง
เราจะเปิดร้านใหม่ที่ซานดิเอโก ซานฟรานซิสโก เบเวอร์ลีฮิลส์ ทวินปาล์ม และบาหลีในโรงแรม Ritz-Carlton ที่เซ็นสัญญาไปหมดแล้ว และกำลังอยู่ในช่วงก่อสร้าง แต่ที่ผมตื่นเต้นที่สุดคือที่ W ดูไบ มันยิ่งใหญ่มโหฬารและน่าทึ่งสุดๆ แบบที่ผมเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน เราตั้งอยู่บนดาดฟ้า ได้เห็นวิวทั้งมหาสมุทรจริงและจำลองพร้อมกัน ชั้นล่างเป็นร้านของเชฟมัสซิโม บอตตูรา (Massimo Bottura) เชฟอันดับ 1 ของโลก มันน่าจะเยี่ยมมาก มีทั้งเชฟรุ่นใหญ่และรุ่นเด็กแบบผม (หัวเราะ)
เคยเป็นนักกีฬาที่ชีวิตเคลื่อนที่ตลอดเวลา ตอนนี้คุณยังแอ็กทีฟอยู่ไหม
คุณแค่ต้องตื่นเช้าหน่อยเพื่อเข้ายิมเท่านั้นเอง ตอนนี้เท้าผมบาดเจ็บอยู่ ผมก็นั่งแล้วออกกำลังเฉพาะช่วงบน ผมไม่มีข้ออ้างที่จะไม่ออกกำลังกาย โดยเฉพาะเมื่อคุณทำอาชีพนี้ เวลาผมอยู่บ้านจะออกกำลังทุกวัน วันละชั่วโมงครึ่งหรือสองชั่วโมง มันช่วยให้ผมมีแรง รู้สึกกระปรี้กระเปร่า แล้วก็ได้ยืดเส้นด้วย ถือเป็นเรื่องจำเป็น เพราะถ้าผมไม่ออกแรง ผมจะง่วงตลอด คราวที่แล้วมาเมืองไทย ผมตรงไปต่อยมวยไทยก่อนเลย แต่เสียดายรอบนี้เท้าเจ็บ อดเลย
อย่าลืมว่าคนคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมาได้ ก็ต้องขอบคุณคนรอบตัวที่ช่วยสร้างคุณขึ้นมาด้วย
คุณจะอธิบายรสชาติอาหารแบบ ‘อาคีรา แบค’ ให้คนที่ไม่เคยชิมฟังอย่างไร
ผมจะบอกก่อนเลยว่า “คุณเป็นเพื่อนผม มาสนุกกัน!” คนมักจะมาเป็นกลุ่ม คนหนึ่งบอกอยากกินสเต๊ก อีกคนบอกอยากกินปลา ที่ Akira Back คิดมาแล้วเพื่อสิ่งนี้ เพราะเรามีเมนูอาหารแบบญี่ปุ่น ใส่ความเกาหลี ผสมโมเดิร์น ติดอเมริกันนิดๆ แบบตัวผม ให้ทุกคนได้สนุกกัน ดังนั้นมันเลยเข้าใจง่าย สนุก ที่สำคัญที่สุดคือ คนที่ไม่ชอบกินปลาดิบก็สามารถกินได้ เพราะผมมีซอสให้เลือกเยอะ การันตีเลยคนไม่ชอบปลาดิบกินได้ เพราะผมเข้าใจและเคยไม่กินเหมือนกันนี่ไง ผมจะบอกให้เขาลองด้วยวิธีกินต่างๆ ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ กลับบ้านไปด้วย ส่วนสายฮาร์ดคอร์ เราก็มีอะไรฮาร์ดคอร์ให้เหมือนกัน
ดังนั้นผมว่าสิ่งที่เราแตกต่างคือความเข้าใจในตัวคนที่ไม่ชอบกินอาหารอะไรบางอย่าง อาจเพราะไม่ชอบกลิ่นหรือรส เราต้องทำความเข้าใจกับมัน ค่อยๆ ปรับสูตร ลองนั่นนี่ เลี่ยงกลิ่นนั้น รสสัมผัสนี้ เอาใจเขามาใส่ใจเรา จนออกมาเป็นอาหารแบบ Akira Back ที่ผมว่าร้านอาหารอื่นอาจมองข้ามไปก็ได้
เคล็ดลับการทำปลาดิบให้คนไม่ชอบกินก็กินได้ของคุณคืออะไร
คุณต้องหาก่อนว่าอะไรที่ไม่ชอบ ผมจะใช้สมุนไพรช่วยกลบโดยไม่ทำให้กลบรสจนเกินไป อีกอย่างที่ผมใช้คือซอสเยอะมากและสาหร่าย เพราะสาหร่ายคือผงชูรสตามธรรมชาติ มันมีรสอูมามิ แต่สุดท้ายแล้วคือการให้แขกได้สนุก เพลินไปกับช่วงเวลานั้นๆ กับคนรอบข้าง ไม่ทางการและซีเรียสไป แม้รสชาติจะอร่อยจริงจังก็เถอะ นี่แหละคือ Akira Back เหมือนกับตัวผม ที่ถึงเวลาจริงจังก็จัดเต็มเหมือนกัน แต่อาหารจะออกมาดูสนุก ง่าย แต่เพราะมันผ่านกระบวนการคิดมาแล้วว่าให้คุณกินแบบไม่ต้องคิดเยอะนั่นไง ดังนั้นแค่กินแล้วเพลินไปกับมันก็พอแล้ว
ในฐานะโค้ช คุณจะพัฒนาทีมอย่างไรได้บ้าง เพราะเมื่อทีมสมบูรณ์แล้ว จะแข็งแกร่งกว่าตัวโค้ช ไม่ต่างกับครูมวย ถ้าลูกศิษย์แกร่งกล้า คุณก็รู้ว่าเขาล้มคุณได้ทุกเมื่อ ไม่อย่างนั้นจะมีโค้ชไปทำไม
คุณว่าความลับสู่ความสำเร็จของคุณคืออะไร
ผมเป็นเอเชีย ดังนั้นผมว่าผมอาจเชื่อเรื่องโชคช่วยด้วยมั้ง ผมบอกทุกคนเสมอว่าผมเป็นไอ้บ้าที่โคตรโชคดีเลย ได้โอกาสฝึกฝนกับคนเก่งๆ เรื่องเทคนิคดั้งเดิม ที่ต่อยอดให้ผมสร้างรสชาติในแบบของตัวเอง แถมยังได้ย้ายไปอยู่ที่ลาสเวกัส ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับผมก็ว่าได้ มันเป็นสถานที่หลอมรวมวัฒนธรรมหลากหลาย ยิ่งกว่าอเมริกาทั้งประเทศเสียอีก คนทั่วโลกมากินอาหารที่นี่ และถ้าอาหารคุณผ่านด่านลิ้นแบบลาสเวกัสมาได้ ผมคิดว่ามันก็มีสิทธิ์ที่จะเวิร์กไปทั่วโลก มีเชฟชื่อดังเยอะมากที่ไปเปิดร้านที่ลาสเวกัสแล้วล้มไม่เป็นท่า แต่ร้านของเราเปิดมา 11 ปีแล้ว และมันยังไปได้ดี แถมดีขึ้นด้วย
ผมแนะนำว่าถ้าอยากประสบความสำเร็จ ให้มองหาคนที่ใช่ ที่เหมาะ เอาพวกเขาไว้ใกล้ตัว เวลาทำอาหารให้คน 80-100 คน ถามว่าผมทำมันคนเดียวหรือ ก็เปล่า แล้วใครทำล่ะ ทีมผมไง ที่ผมโชคดีอีกอย่าง ก็เพราะผมดันพูดเก่งกว่าคนอื่นๆ ในทีม และพวกเขาทำอาหารออกมาในแบบที่ผมวางเอาไว้ได้อย่างดี และอย่าลืมว่าการที่คนคน หนึ่งจะเติบโตขึ้นมาได้ ก็ต้องขอบคุณคนรอบตัวที่ช่วยสร้างคุณขึ้นมาด้วย
อ่านเรื่อง Akira Back รสญี่ปุ่น เกาหลี แต่อเมริกันก็มาเต็ม ร้านอาหารเอเชียนร่วมสมัยที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก บุกถึงเมืองไทยแล้ว ได้ที่นี่
ภาพประกอบ: Dreaminem
Photo: Courtesy of Bangkok Marriott Marquis Queen’s Park
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
- ร้านอาหารของ Akira Back ได้แก่ Yellowtail Japanese Restaurant & Lounge ณ Bellagio Resort & Casino ในลาสเวกัส และ Kumi Japanese Restaurant + Bar ที่อ่าวมัณฑะเลย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนั้นยังมีร้านอาหาร Akira Back ในนิวเดลี, จาการ์ตา, สิงคโปร์, กรุงเทพมหานคร, ฮานอย และโทรอนโต พร้อมกับแผนที่กำลังจะขยายสาขาไปยัง ซานฟรานซิสโก, เบเวอร์ลีฮิลส์, บาหลี, ดัลลัส, ดูไบ และกวางโจว อีกทั้งยังมีคอนเซปต์ร้านใหม่ ได้แก่ AB Steak ที่จาการ์ตา และ ABar ในกรุงเทพมหานคร
- ในฤดูใบไม้ผลิปี 2017 ร้านอาหาร Dosa ของ อาคีรา แบค ได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาว ประจำปี 2018 จากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ สำหรับการบริการยอดเยี่ยมและสุดยอดอาหาร ถือว่าเป็นเกียรติยศสูงสุดสำหรับเชฟชาวเกาหลีใต้คนนี้
- เขารับหน้าที่ดูแลงานเลี้ยงสำคัญประจำปีของวงการอาหารอเมริกาอย่าง James Beard House Dinners ประจำปี 2008, 2010, 2011, 2012, 2013, 2014 และ 2018
- Akira Back Restaurant & Bar ชั้น 37 โรงแรม Bangkok Marriott Marquis Queen’s Park 199 ซอยสุขุมวิท 22 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพฯ เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 18.00-23.00 น. (ทุกวันอาทิตย์เปิดเพิ่มมื้อกลางวัน 12.00-14.30 น.) โทร. 0 2059 5999, www.bangkokmarriottmarquisqueenspark.com