×

ไม่ได้มีดีแค่อูมามิ บทพิสูจน์ใหม่อายิโนะโมะโต๊ะ บุกธุรกิจเฮลท์แคร์ เทคโนโลยี และการผลักดันความยั่งยืนสู่สังคม [ADVERTORIAL]

โดย THE STANDARD TEAM
28.04.2023
  • LOADING...
ajinomoto

HIGHLIGHTS

6 MIN READ
  • อายิโนะโมะโต๊ะเริ่มธุรกิจครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 1908 หากวัดปีในปัจจุบันก็จะเป็นปีครบรอบ 115 ปีพอดีที่อายิโนะโมะโต๊ะได้ตั้งบริษัทขึ้นมา โดยที่ธุรกิจแรกเริ่มของพวกเขาตั้งต้นจากการเป็นผู้ผลิตผงชูรส 
  • ปัจจุบันอายิโนะโมะโต๊ะไม่ได้เป็นแค่ผู้ผลิตผงชูรสและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารเท่านั้น เพราะพวกเขายังพาตัวเองไปบุกเบิกกลุ่มธุรกิจสุขภาพ Health Care หรือกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีอีกด้วย แต่ยังคงยึดมั่นในแกนกลางขององค์กรที่ตั้งต้นด้วยวัตถุดิบหลักอย่าง ‘กรดอะมิโน’
  • เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เป้าหมายของอายิโนะโมะโต๊ะได้เปลี่ยนแปลงไป หันมาเน้นการสร้างคุณค่าและตอบแทนสิ่งต่างๆ กลับคืนสู่สังคม ด้วยการมีส่วนร่วมในการสร้างความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคม ชุมชน และโลก ให้ดียิ่งขึ้น (Well Being) ผ่านศาสตร์แห่งกรดอะมิโน

เคยสงสัยไหมว่า ผู้ที่คิดค้น ‘ผงผลึกสีขาว’ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ผงชูรสอายิโนะโมะโต๊ะ ต้นตอของความอร่อยที่อยู่ทุกครัวเรือนมาอย่างยาวนาน ตอนที่เขาคิดค้นสิ่งนี้ขึ้นมา เขาคิดอะไรอยู่กันแน่ แล้วอยู่ดีๆ ทำไมเจ้าโมโนโซเดียมกลูตาเมตจากญี่ปุ่นแบรนด์นี้ ถึงได้กลายเป็นเครื่องปรุงรสที่เข้ามาชูรสชาติของอาหารทุกจานได้อร่อยขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจ 

 

ย้อนกลับไปในปี 1908 หรือเมื่อ 115 ปีที่แล้ว ศ.ดร.คิคุนาเอะ อิเคดะ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียวอิมพีเรียล ในฐานะผู้คนพบรสชาติความอร่อยแบบอูมามิ ได้ตั้งคำถามที่ชวนฉงนสงสัยไว้ว่า ‘ทำไมน้ำซุปที่ได้จากการต้มสาหร่ายทะเลคอมบุถึงมีรสชาติที่อร่อยกลมกล่อม?’

 

จากจุดเริ่มต้นของการตั้งคำถามนี้เอง นำไปสู่การศึกษาวิจัย จนกระทั่งได้พบว่า รสชาติอูมามิในน้ำซุปนี้มีที่มาจาก ‘กลูตาเมต’ หรือกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่มีอยู่มากในสาหร่ายทะเลคอมบุ และได้เรียกรสชาตินี้เป็นภาษาญี่ปุ่นว่า ‘อูมามิ’

 

การค้นพบครั้งดังกล่าวยังได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นอย่าง ซาบุโรสุเกะ ซูซูกิ ที่ได้ต่อยอดไปสู่การพัฒนาเครื่องปรุงรสอูมามิหรือผงชูรส วางจำหน่ายสู่ท้องตลาดในปี 1909 โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า ‘อายิโนะโมะโต๊ะ’ หมายถึงที่มาของรสชาติ (อร่อย) เพื่อส่งต่อความอร่อยสู่โต๊ะอาหารผู้คนทั่วโลก

 

อย่างไรก็ดี ‘วันนี้’ ของอายิโนะโมะโต๊ะ พวกเขาไม่ตีกรอบตัวเอง หรือยึดติดกับความสำเร็จของการเป็นผู้ผลิตผงชูรสจำหน่ายอีกต่อไป เพราะด้วย DNA และวิถีแบบอายิโนะโมะโต๊ะ พวกเขาจึงได้ขยายธุรกิจของตัวเอง ไปคว้าโอกาสในน่านน้ำใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อสร้างความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน 

 

ขณะเดียวกันก็ไม่หลงลืมที่จะให้ความสำคัญกับการตอบแทนคุณค่าและประโยชน์ กลับคืนสู่สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม รวมถึงโลกใบนี้ สู่ความยั่งยืนไปพร้อมๆ กัน

 

THE STANDARD ชวนอ่านเรื่องราวการเดินทางของอายิโนะโมะโต๊ะ ที่ขยับพาตัวเองไปไกลกว่าแค่การรังสรรค์ความอูมามิในจานอาหาร แต่ต้องส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้คน สิ่งแวดล้อม และโลก ที่ยั่งยืนมากกว่าเดิมให้ได้สำเร็จ

 

115 ปีของอายิโนะโมะโต๊ะ กับย่างก้าวที่หาญกล้าในวันที่ ‘ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตผงชูรสอีกต่อไป’

อายิโนะโมะโต๊ะเริ่มธุรกิจครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 1908 หากวัดปีในปัจจุบันก็จะเป็นปีครบรอบ 115 ปีพอดีที่อายิโนะโมะโต๊ะได้ตั้งบริษัทขึ้นมา โดยที่ธุรกิจแรกเริ่มของพวกเขาตั้งต้นจากการเป็นผู้ผลิตผงชูรส เครื่องปรุงที่ทำให้อาหารมีรสชาติ ‘อูมามิ’ หรืออร่อยกลมกล่อมนั่นเอง

 

ผงชูรสหรือโมโนโซเดียมกลูตาเมต ประกอบด้วย ‘กลูตาเมต’ ซึ่งเป็น ‘กรดอะมิโน’ ชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อร่างกายของมนุษย์เราเป็นอย่างมาก (จินตนาการง่ายๆ ส่วนประกอบในร่างกายมนุษย์ 60% คือน้ำ 15% คือไขมัน และอื่นๆ อีก 5% ในสัดส่วน 20% ที่เหลือคือโปรตีน ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีกรดอะมิโนกว่า 20 ชนิดเป็นองค์ประกอบ อย่างน้ำนมแม่ก็เปี่ยมไปด้วยกรดอะมิโน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้กรดอะมิโนถือเป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญต่อร่างกายมนุษย์เรา)

 

แม้อายิโนะโมะโต๊ะจะได้ชื่อว่าเป็นผู้นำธุรกิจด้านกรดอะมิโนที่มีจุดเริ่มต้นคือผงชูรส แต่ในปัจจุบันธุรกิจและสายพานการผลิตของพวกเขากลับไปไกลมากกว่านั้น เขาได้ขยายธุรกิจสู่ภาคอุตสาหกรรมอาหาร ตัวอย่างเช่น อาหารแปรรูป (บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบรนด์ยำยำ), ซุป, กาแฟพร้อมดื่มแบรนด์เบอร์ดี้ หรือแม้แต่อาหารแช่แข็งอย่างเกี๊ยวซ่า จากการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงสำหรับการผลิตอาหารแช่แข็งโดยเฉพาะ

 

แต่ ณ วันนี้ อายิโนะโมะโต๊ะไม่ได้ตีกรอบตัวเองอยู่แค่ในอุตสาหกรรมผู้ผลิตอาหารอีกต่อไป เพราะพวกเขายังเดินหน้าต่อด้วยการมุ่งเน้นในเรื่องเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนโดยการแก้ไขปัญหาสังคมและชุมชน ผ่านการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์แห่งกรดอะมิโน นั่นคือแก่นหลักของอายิโนะโมะโต๊ะ

 

 

จากภาคธุรกิจอาหารสู่ธุรกิจด้านสุขภาพ

โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ สารน้ำสำหรับหลอดเลือดดำที่อุดมไปด้วยกรดอะมิโน ช่วยในการฟื้นฟูร่างกายหลังการผ่าตัด ซึ่งในอนาคตทางอายิโนะโมะโต๊ะยังมีแพลนที่จะขยายธุรกิจในหมวดนี้ให้มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าเดิม

 

ที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นและเชื่อว่าน้อยคนจะรู้ข้อเท็จจริงประการนี้คือ การที่เราทุกคนล้วนแล้วแต่ถือผลิตภัณฑ์ของอายิโนะโมะโต๊ะอยู่ในมือตลอดเวลา!

 

ซึ่งสิ่งนั้นก็คือ ‘ฟิล์มฉนวนในชิปหน่วยประมวลผล เซมิคอนดักเตอร์’ อธิบายอย่างง่ายคือ ในสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะมีหน่วยประมวลผล ชิป หรือเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งมีขนาดที่จิ๋วมากๆ และภายในก็มีรูปแบบของวงจรที่สลับซับซ้อน แยกกันตามแต่ละฟังก์ชันการทำงาน ซึ่งฟิล์มฉนวนที่ว่าที่ผลิตจากเรซินด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงในการพัฒนากรดอะมิโน ก็มีส่วนสำคัญในการนำมาประยุกต์ใช้กับการผลิตฟิล์มฉนวนในเซมิคอนดักเตอร์โดยตรง เพื่อให้สามารถแยกหน่วยประมวลผลภายในออกจากกันได้นั่นเอง

 

ไม่เพียงแค่ผลิตเท่านั้น แต่อายิโนะโมะโต๊ะยังครองส่วนแบ่งตลาดนี้ในระดับที่แทบ Dominated ทั้งตลาดในสัดส่วนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยก็ว่าได้!

 

นอกเหนือจากนี้ อายิโนะโมะโต๊ะก็ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม นั่นจึงทำให้พวกเขาทุ่มงบมหาศาลจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา R&D ที่มีขนาดใหญ่ โดยมีทีมงานร่วม 1,600 ชีวิตทั่วโลกในการทุ่มเทพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับอายิโนะโมะโต๊ะอยู่ตลอดเวลา (ในประเทศไทยเองก็มีศูนย์ R&D ด้านอาหารและศูนย์เทคโนโลยีด้านไบโอฟาร์มด้านกรดอะมิโน)

 

สาเหตุหลักๆ ที่อายิโนะโมะโต๊ะไม่หยุดตัวเองหรือตีกรอบแค่การพัฒนาผงชูรส เป็นเพราะว่าพวกเขามองตัวเองใหญ่กว่าน้ัน หรือเป็น ‘ธุรกิจด้านกรดอะมิโน’ 

 

นอกเหนือจากนี้อายิโนะโมะโต๊ะยังมุ่งมั่นผลักดันให้ทุกทรัพยากรธรรมชาติในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ของพวกเขา ด้วยการนำวัตถุดิบหลักอย่างกรดอะมิโนหมุนเวียนจากการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการของเสีย ให้กลับไปเป็นทรัพยากรที่หมุนเวียนอยู่ในระบบด้วยกระบวนการที่เหมาะสม และนำไปใช้ประโยชน์เติมเต็มได้อย่างดีในทุกมิติ

 

‘AGW’ (Ajinomoto Group Way) วิถีแห่งกลุ่มอายิโนะโมะโต๊ะ เบื้องหลังความสำเร็จที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น และหัวใจแห่งการสร้างนวัตกรรมแบบไม่รู้จบ

อ่านมาจนถึงตอนนี้ หลายคนอาจเริ่มสงสัยกันแล้วว่า หลักคิดแบบไหนกันแน่ที่ทำให้องค์กรอย่างอายิโนะโมะโต๊ะสามารถยืนหยัดผ่านยุคสมัย ผ่านทุกช่วงเวลาทั้งวิกฤตและรุ่งโรจน์ มาได้ยาวนานเหนียวแน่นตลอดกว่า 115 ปี แถมยังสามารถแผ่อาณาจักรตัวเอง ที่แม้จะเริ่มจากธุรกิจอาหาร กระทั่งไปจับยึดพื้นที่ในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีผ่านฟิล์มฉนวนในเซมิคอนดักเตอร์ได้อย่างน่าซูฮก

 

อิชิโระ ซะกะกุระ

กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด

 

เรื่องนี้ อิชิโระ ซะกะกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ The Secret Sauce เอาไว้ว่า อายิโนะโมะโต๊ะจะยึดถือ ASV คืออายิโนะโมะโต๊ะสร้างคุณค่าร่วมกับสังคม (The Ajinomoto Group Creating Shared Value) และอีกส่วนคือ AGW วิถีแห่งกลุ่มอายิโนะโมะโต๊ะ หรือ Ajinomoto Group Way ซึ่งเปรียบเสมือนคุณค่าในเชิงวัฒนธรรมองค์กรที่คนอายิโนะโมะโต๊ะล้วนแล้วแต่ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก

 

Ajinomoto Group Way ประกอบไปด้วย

 

  1. การสร้างค่านิยมใหม่
  2. การมีจิตวิญญาณของการเป็นผู้บุกเบิกริเริ่มสิ่งใหม่ๆ
  3. การตอบแทนสังคม
  4. การเคารพในคุณค่าของคน

 

เมื่อรวมทั้ง 4 ข้อของ AGW เข้าด้วยกัน หัวเรือใหญ่อายิโนะโมะโต๊ะ ประเทศไทย จึงได้สรุปแบบรวบรัดเอาไว้ว่า การยึดถือหลักการ AGW ได้ส่งผลให้ DNA คนอายิโนะโมะโต๊ะที่มักจะให้ความสำคัญกับการสรรค์สร้างคุณค่าใหม่ๆ ให้กับสังคม

 

“การเป็นบริษัทใหญ่จะต้องท้าทายตัวเองอยู่เสมอ เราต้องพร้อมที่จะทลายกรอบความคิดเดิมๆ มองมุมมองที่ต่างออกไป พร้อมจะเข้าไปตอบโจทย์ แก้ปัญหาของผู้คน ด้วยวิธีการและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ถึงแม้ว่าตลาดนั้นจะไม่ใช่ตลาดที่มีขนาดใหญ่ก็ตาม และแม้ว่ามันจะเป็นตลาดที่มีขนาดเล็ก แต่ก็มีโอกาสขยายต่อยอดไปได้อย่างยั่งยืน” อิชิโระให้สัมภาษณ์ไว้ในช่วงหนึ่งของรายการ The Secret Sauce

 

 

ไม่แปลกใจที่อายิโนะโมะโต๊ะจะไม่หยุดนิ่งอยู่แค่การเป็นผู้ผลิตผงชูรส วัตถุดิบสำหรับการประกอบอาหาร เพียงอย่างเดียว แต่เลือกที่จะพาตัวเองออกไปเรียนรู้สนามใหม่ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอาหาร (ที่ไม่ใช่แค่ผงชูรส) ไปจนถึงกลุ่มเทคโนโลยีที่พัฒนาได้จากศาสตร์แห่งกรดอะมิโน

 

 

อนาคตของอายิโนะโมะโต๊ะ กับการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน ด้วยการส่งต่อ ‘ความเป็นอยู่ที่ดี’ ให้กับผู้คน

หลายๆ องค์กรมักมองที่ผลลัพธ์และเป้าหมายของการพัฒนาองค์กรให้เติบโต ทะยานสู่การเป็นผู้นำในตลาดให้ได้สำเร็จ เรื่องเดียวกันนี้ในมุมมองของอายิโนะโมะโต๊ะก็ไม่แตกต่างกันสักเท่าไร เพราะเดิมทีหากย้อนไปก่อนในปี 2020 เป้าหมายของพวกเขาคือการก้าวขึ้นมาติด 1 ใน 10 ของบริษัทผู้นำด้านธุรกิจอาหารของโลกให้ได้

 

แต่กระทั่งในปี 2020 หรือเมื่อ 3 ปีที่แล้วที่เป้าหมายของอายิโนะโมะโต๊ะได้เปลี่ยนแปลงไป โดยได้ขยับวิสัยทัศน์จากการเป็น Top 10 Food Companies of the World ไปสู่การสร้างคุณค่าและตอบแทนสิ่งต่างๆ กลับคืนสู่สังคม ด้วยการมีส่วนร่วมในการสร้างความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคม ชุมชน และโลก ให้ดียิ่งขึ้น (Well Being) ผ่านศาสตร์แห่งกรดอะมิโน

 

 

โดยที่กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด บอกไว้ว่า จุดเปลี่ยนของการพลิกมุมคิดนี้เกิดขึ้นจากการที่พวกเขาตั้งคำถามกับตัวเองว่า การที่พวกเขาขึ้นเป็น 1 ใน 10 บริษัทผู้นำด้านธุรกิจอาหารในโลกได้สำเร็จ จะมีความหมายอะไรถ้าพวกเขาไม่ได้สร้างคุณค่าใดๆ ให้กับสังคมเลยแม้แต่น้อย

 

สำหรับในปี 2023 เป็นต้นไป อายิโนะโมะโต๊ะจะมุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจใน 4 กลุ่มหลักๆ ประกอบไปด้วย

 

  1. กลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพ (Health Care)
  2. กลุ่มธุรกิจด้านอาหารและสุขภาพความเป็นอยู่ (Food & Wellness)
  3. กลุ่มธุรกิจด้าน ICT (ในที่นี้ก็คือฉนวนฟิล์มในเซมิคอนดักเตอร์)
  4. กลุ่มธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม (เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับโลกทั้งใบ)

 

สำหรับประเด็นด้านธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมที่อายิโนะโมะโต๊ะมุ่งมั่นที่จะสร้างความยั่งยืนให้กับโลกนั้น อิชิโระ ซะกะกุระ ได้อธิบายไว้ว่า แนวทางของพวกเขาจะประกอบไปด้วย 2 มิติหลักๆ นั่นคือ

 

  1. การลดผลกระทบจากการดำเนินงานของอายิโนะโมะโต๊ะต่อสิ่งแวดล้อมลงให้ได้ 50% เมื่อเทียบกับปี 2018: ครอบคลุมตั้งแต่การตั้งเป้านำผลิตภัณฑ์รีไซเคิลมาใช้งานในสัดส่วนร้อยเปอร์เซ็นต์ให้ได้ภายในปี 2030, การนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้งานในองค์กร, การลดขยะพลาสติก, การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ, การจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน, การนำมันสำปะหลังที่เป็นส่วนเกินและอาจเป็น Food Waste ไปผันเปลี่ยนเป็นปุ๋ย และส่งต่อให้กับชาวไร่ผู้ปลูกมันสำปะหลัง เพื่อสร้างเศรษฐกิจแบบหมุนเวียน ลดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม จนเกิดเป็น ‘วัฏจักรชีวภาพ’

 

  1. การยืดอายุขัยประชากร ส่งเสริมสุขภาพดีให้ผู้คนมากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลกให้ได้สำเร็จ: ด้วยวิธีการที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาศาสตร์แห่งกรดอะมิโน, การนำเสนอแผนโภชนาการที่มุ่งมั่นอย่างไม่ลดละ ที่ไม่กระทบต่อรสชาติความอร่อย ไม่ปิดกั้นการเข้าถึงสินค้าและโภชนาการที่ดีของผู้บริโภค และไม่กระทบต่อวัฒนธรรมท้องถิ่นของผู้คนในแต่ละพื้นที่

 

กว่า 115 ปีที่ผ่านมาของอายิโนะโมะโต๊ะ หากมองมุมมองในเชิงธุรกิจ พวกเขาถือเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยวิสัยทัศน์ ความหาญกล้าที่พร้อมจะพาตัวเองไปสู่โอกาสใหม่ๆ และนวัตกรรมที่ไม่หยุดนิ่งอยู่เสมอ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้องค์กรหนึ่งสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้า ผ่านมรสุมความท้าทายได้อย่างมั่นคงและเข้มแข็ง

 

ขณะเดียวกัน หากเรามองพวกเขาด้วยแว่นขยายในมุมมองเชิงการตอบแทนสังคม ก็ต้องยอมรับอีกเช่นกันว่า อายิโนะโมะโต๊ะไม่ละเลยที่จะตอบแทนผู้คน ชุมชน สังคม และโลกใบนี้ ที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขา ด้วยการให้คำมั่นสัญญาในการขับเคลื่อนความเป็นอยู่ของผู้คนให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ด้วยนวัตกรรมศาสตร์แห่งกรดอะมิโน

 

เมื่อผนวกรวมทั้งสองสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นมุมมองเชิงธุรกิจหรือสังคมเข้าด้วยกัน นี่อาจจะเป็นคำตอบที่สะท้อนให้เรามองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่า การที่องค์กรสักหนึ่งองค์กรจะยืนหยัดได้อย่างมั่นคง แข็งแรง และก้าวขึ้นมาอยู่ในใจผู้บริโภคได้สำเร็จตลอดระยะเวลากว่า 115 ปีที่ผ่านมา พวกเขาจะต้องให้ความสำคัญในเรื่องอะไรกันแน่

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising