เชื่อว่าหลายคนคงทราบผลการแข่งขันนัดประเดิมสนามของฟุตบอลทีมชาติไทยในศึกชิงแชมป์เอเชียรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยทีมไทยประเดิมสนามของกลุ่ม A อย่างยอดเยี่ยมด้วยการถล่มชนะบาห์เรนไปถึง 5-0 ในเกมแรก รวมถึงผลการแข่งขันอีกคู่ในกลุ่มเดียวกันจบลงเพียงแค่ออสเตรเลียเสมอกับอิรักไป 1-1 ทำให้สถานการณ์ของทีมไทยดูสดใสขึ้นสำหรับการเข้ารอบต่อไปของการแข่งขันระดับเอเชียที่ใหญ่ที่สุดที่ประเทศไทยได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าภาพนับตั้งแต่ศึกเอเชียนคัพ ปี 2007
ภาพ: AFC
ชัยชนะครั้งนี้ยังเป็นก้าวสำคัญไปสู่เป้าหมายการพาทีมชาติไทยไปแข่งขันฟุตบอลในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกได้เป็นสมัยที่ 3 นับตั้งแต่ครั้งแรกในปี 1956 ที่ออสเตรเลีย และปี 1968 ที่เม็กซิโก
แต่ก่อนที่เสียงนกหวีดแรกของเกมนี้จะเริ่มต้นขึ้น สถานการณ์ของทีมชาติไทยถือว่าแตกต่างจากวินาทีนี้มากพอสมควร
ภาพ: ดิษยุตม์ ธนบุญชัย / THE STANDARD
7 มกราคม งานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ
โค้ชจาก 4 ชาติที่เตรียมลงแข่งขันนัดประเดิมสนามในวันที่ 8 มกราคม 2020 ของศึกฟุตบอลชิงแชมป์เอเชียที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ เดินเข้าห้องแถลงข่าวที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ พร้อมตอบคำถามสื่อมวลชนถึงเป้าหมายและความคาดหวังต่างๆ
“แน่นอนว่าในฐานะเจ้าภาพเรามีความกดดัน”
อากิระ นิชิโนะ หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยชาวญี่ปุ่น กล่าวผ่านล่ามถึงแรงกดดันในฐานะชาติเจ้าภาพ รวมถึงยอมรับว่าคู่แข่งทุกทีมต่างเหนือกว่าไทย ทั้งบาห์เรน ออสเตรเลีย และอิรัก แต่สิ่งที่ทำได้คือพยายามเตรียมตัวให้ทำงานเป็นทีมมากที่สุด และยังคงยึดมั่นในเป้าหมายที่จะพาทีมชาติไทยไปแข่งขันโอลิมปิกให้ได้
งานแถลงข่าวผ่านพ้นไปด้วยโค้ชชาติต่างๆ ที่ต่างรายงานความพร้อมและความคาดหวังของทีม ก่อนที่งานจะจบลงระหว่างที่นักข่าวไทยกำลังนั่งทำงานต่อ ด้านข้างเราพบเห็นว่ามีกลุ่มผู้สื่อข่าวจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งชาตินอกเหนือจากผู้สื่อข่าวบาห์เรนที่มารายงานการแถลงข่าวในวันนี้
สิ่งที่พบเจอคือผู้สื่อข่าวญี่ปุ่นเดินทางมาชมการแข่งขันรายการนี้เป็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งคือการติดตามรายงานความเคลื่อนไหวของทีมชาติญี่ปุ่น แต่อีกส่วนหนึ่งคือการสอบถามไปมากับนักข่าวไทยถึงนิชิโนะ
โดยมีคำถามเพียงแค่ว่ามองว่าเขาเป็นโค้ชที่ดีหรือไม่ในสายตาของทั้งสองประเทศ ซึ่งนักข่าวจากทั้งสองฝั่งก็มองตรงกันว่าเชื่อมั่นในฝีมือของผู้ฝึกสอนวัย 64 ปีผู้นี้ แต่เนื่องจากผลงานที่ผ่านมาในศึกซีเกมส์ที่ประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งไทยตกรอบแรก ก็ทำให้หลายคนอาจเริ่มตั้งคำถามในฝีมือของเฮดโค้ชชาวเอเชียคนแรกในประวัติศาสตร์ของทีมชาติไทยเช่นเดียวกัน
ภาพ: ดิษยุตม์ ธนบุญชัย / THE STANDARD
ก่อนที่จะออกจากสนาม เรามีโอกาสได้ลงพื้นที่ไปสำรวจสนามราชมังคลากีฬาสถาน 1 วัน ก่อนพิธีเปิดการแข่งขันอย่างเป็นทางการจะเริ่มต้นขึ้น
เราก็พบเห็นว่ายังมีหลายจุดที่ทีมงานยังคงเก็บงานให้พร้อมสำหรับการแข่งขัน โดยมีเสียงหนึ่งที่เราได้ยินจากทีมงานที่ฝึกซ้อมการแสดงในสนามคือ “มาครับ เราทำครั้งนี้ให้ดีก็จะเสร็จแล้ว” ก็บ่งบอกได้ว่าครั้งนี้เรามีความพยายามที่จะเป็นเจ้าภาพที่สร้างความประทับใจทั้งในและนอกสนามแข่งขัน
พระอาทิตย์ขยับเข้าใกล้สุดเส้นขอบฟ้า บ่งบอกว่าคืนสุดท้ายก่อนการแข่งขันจะมาถึง แสงสุดท้ายของวันส่องมายังฟุตบอลทีมชาติไทยที่กำลังลงฝึกซ้อมทบทวนสิ่งต่างๆ ก่อนที่จะต้องลงสนามแข่งขันจริง
สื่อมวลชนเดินทัพจากสนามแข่งไปยังสนามฝึกซ้อม ก่อนจะได้รับคำกล่าวสุดท้ายของนิชิโนะ ซึ่งคำตอบของเฮดโค้ชชาวญี่ปุ่นเหมือนเป็นการมอบโจทย์ผ่านบทสัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในพื้นที่สำหรับนักเตะไทยทุกคนว่า
ภาพ: FA Thailand
“เราอยากให้ทัวร์นาเมนต์นี้เป็นทัวร์นาเมนต์ที่เราได้พิสูจน์ตัวเองว่าเราอยู่ในระดับไหน อยากให้ทุกคนทำงานให้เต็มที่เพื่อให้รู้ว่าเราอยู่ตรงไหนของเอเชีย”
ภาพ: ดิษยุตม์ ธนบุญชัย / THE STANDARD
8 มกราคม Game Day
วันแรกของการแข่งขันเดินทางมาถึง สำหรับทีมข่าว THE STANDARD ที่ลงพื้นที่ตั้งแต่ช่วง 4 โมงเย็น และพบว่าป้าย AFC U23 Championship ขึ้นพร้อมทุกบริเวณของสนาม แต่สิ่งที่พบเห็นบางตากว่าปกติในวันนี้คือจำนวนของแฟนบอล ซึ่งหลายคนเข้าใจตรงกันว่าส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการแข่งขันในวันที่ตรงกับวันทำงาน รวมถึงรายการนี้ไม่ใช่การแข่งขันของทีมชาติชุดใหญ่
นอกจากนี้สิ่งที่พบเจอในการทำงานคือระบบการแข่งขันที่เปลี่ยนให้เป็นระบบเดียวกับการแข่งขันฟุตบอลรอบสุดท้าย เหมือนที่ทีมงานเคยลงพื้นที่ที่ประเทศรัสเซียเมื่อปี 2018
นั่นคือการจองพื้นที่ทำงานต่างๆ สำหรับช่างภาพในสนามก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น รวมถึงข้อกำหนดต่างๆ ที่ทำให้คนที่ไม่คุ้นเคยอาจต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานจากเดิมพอสมควร
ภาพ: ดิษยุตม์ ธนบุญชัย / THE STANDARD
ทีม THE STANDARD ได้เดินกลับออกไปสำรวจในช่วงเย็น ก่อนจะพบว่าวันนี้แฟนบอลอาจเดินทางมาถึงสนามไม่ถึงหมื่นคน พร้อมกับความคาดหวังที่หลายฝ่ายยังคงกังวลว่าผลงานจากซีเกมส์จะตามมาเป็นผลการแข่งขันในเกมนี้กับบาห์เรนหรือไม่ เนื่องจากนักเตะส่วนใหญ่ภายในทีมชุดนี้ก็เป็นนักเตะชุดเดิมจากศึกซีเกมส์
จนถึงเวลาสำคัญคือการประกาศรายชื่อผู้เล่น 11 คนที่จะลงสนาม ซึ่งนิชิโนะก็สร้างเซอร์ไพรส์อีกเช่นเคยด้วยการมอบหมายให้ สรวิทย์ พานทอง ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในแดนกลาง แทนที่จะเป็น เบนจามิน เดวิส ดาวรุ่งชื่อดังจากฟูแลม ที่หลายคนคาดหวังจะได้เห็นฟอร์มการเล่นตั้งแต่ถูกเรียกตัวมาเข้าแคมป์ทีมชาติไทย
ภาพ: AFC
20.15 น. Kick Off
เพลงชาติของบาห์เรนและไทยจบลงพร้อมกับแข้งไทยเดินไปประจำตำแหน่งก่อนออกสตาร์ท ซึ่งรูปแบบเกมในครึ่งแรกปรากฏว่าเกมรุกของไทยเปลี่ยนไปจากทีมที่เราเคยเห็นในซีเกมส์อย่างชัดเจน แม้ว่า 11 ผู้เล่นนี้จะมีถึง 9 คนที่เป็นนักเตะเดิมจากศึกซีเกมส์ที่ประเทศฟิลิปปินส์เมื่อปลายปีที่ผ่านมา
โดยเป็น ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น สมกับที่เป็นหนึ่งในนักเตะที่ติดรายชื่อ 1 ใน 60 ดาวรุ่งที่น่าจับตามองของสื่ออังกฤษอย่าง The Guardian ด้วยการสังหารประตูแรกตั้งแต่นาทีที่ 11 ให้กับไทยได้อย่างสวยงามและเยือกเย็น ก่อนที่จะมีส่วนร่วมกับทีมตลอดการแข่งขัน
ภาพ: AFC
ซึ่งประตูแรกของเขาในเกมนี้ยังสร้างสถิติเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในศึกชิงแชมป์เอเชียรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีรอบสุดท้าย ด้วยอายุเพียง 17 ปี 5 เดือน 6 วันอีกด้วย
เช่นเดียวกันกับ สุภโชค สารชาติ พี่ชายของเขาที่โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น รวมถึงยังสามารถยิงประตูที่ 2 ในเกมนี้ได้อย่างสวยงามตั้งแต่ช่วงต้นครึ่งหลัง
เท่านั้นยังไม่เพียงพอสำหรับนิชิโนะ ซึ่งก่อนหน้านี้ในเกมกับทีมชาติไทยชุดใหญ่ที่ผ่านมามักตกเป็นเป้าวิจารณ์ของหลายคนว่าเปลี่ยนตัวช้าเกินไปในช่วงท้ายเกมอยู่บ่อยครั้ง มาในเกมนี้นิชิโนะเปลี่ยนตัวนักเตะและเห็นผลได้ในทันที โดยทั้ง กานต์นรินทร์ ถาวรศักดิ์ ที่ลงมาในแดนกลาง รวมถึง เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ ต่างก็ลงมามีส่วนช่วยให้ไทยถล่มบาห์เรนในเกมนี้ไปได้ถึง 5-0
ภาพ: AFC
แต่ความแตกต่างภายใน 48 ชั่วโมงที่เห็นอย่างชัดเจนที่สุดคือหลังจากประตูที่ 5 เกิดขึ้น นอกจากเสียงเชียร์จากแฟนบอลชาวไทยที่ดังกระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ยังมีเสียงจากทั้งกองเชียร์และสื่อมวลชนไทยที่ช่วยเร่งทัพช้างศึกด้วยการบอกว่า “เอาอีกๆๆๆ”
เรียกได้ว่าเป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันมากภายในช่วงเวลาเพียงแค่ไม่ถึง 2 ชั่วโมงสำหรับฟุตบอลทีมชาติไทย ตั้งแต่เสียงนกหวีดแรกจนถึงเสียงนกหวีดสุดท้ายของเกม
เราเดินลงมารอหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยแถลงข่าวอีกครั้ง ซึ่งระหว่างการรอ เราได้สำรวจคอมเมนต์ออนไลน์และพบว่าคำถามที่แฟนบอลตั้งกันมากเป็นพิเศษคือ “นี่คือนักเตะชุดเดียวกับซีเกมส์จริงหรือ”
ภาพ: AFC
สื่อมวลชนไทยจึงตัดสินใจยิงคำถามนิชิโนะถึงความเปลี่ยนแปลงที่เราเห็นกับช้างศึกชุดนี้กับช้างศึกในวันที่ตกรอบแรกซีเกมส์ว่าอะไรคือสิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิม
“ความเข้าใจของแต่ละคนไม่ได้ต่างจากซีเกมส์ แต่ที่ผลงานไม่ดีเป็นเพราะผมบริหารจัดการได้ไม่ดี เมื่อกลับมาที่ไทยเราก็ได้ฟื้นฟูร่างกาย และการได้เป็นเจ้าภาพก็ทำให้เด็กมีความมุ่งมั่น มีความเข้าใจ และเล่นได้เป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น”
นอกจากนี้นิชิโนะยังได้เผยถึงความสำเร็จของเกมนี้ว่าเกิดจากความกล้าหาญในการต่อสู้กับทีมที่มีคุณภาพเหนือกว่าเรา
ภาพ: AFC
“ก่อนเริ่มเกม ผมพยายามพูดกับนักเตะว่าอย่ากลัวคู่ต่อสู้และอย่าพยายามตั้งรับอย่างเดียว แต่พยายามพุ่งไปข้างหน้าให้ได้มากที่สุด หลายคนอาจจะมีคำถาม แต่วันนี้เราก็ตอบสนองได้ดี แม้ต้นเกมเราจะมีโอกาสเสียประตู แต่เราก็เล่นได้อย่างดุดัน
“การคว้าชัยในนัดแรก แม้ว่าชาติอื่นจะมีคุณภาพมากกว่า แต่เราบอกนักเตะเสมอว่าอย่ากลัวหรือคิดว่าเราด้อยกว่า ต้องพยายามแสดงให้เห็นว่าเราพร้อมที่จะท้าทายในระดับนี้ และต้องพยายามทำต่อไป ต้องยอมรับว่าเราขาดประสบการณ์ หลังจากนี้ก็พยายามให้นักเตะฝึกฝน ไม่ใช่แค่ร่างกายและเทคนิค แต่คือสมาธิและความมุ่งมั่นในเกมที่เราต้องพัฒนาต่อไป”
ก่อนที่ 48 ชั่วโมงของความเปลี่ยนแปลงด้านสถานการณ์ของทีมชาติไทยจากความหวังสู่หัวตารางของกลุ่ม A จะหมดลง สุดท้ายเราได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์ดาวรุ่งอนาคตไกล ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา ถึงความรู้สึกหลังจากโชว์ฟอร์มได้อย่างดีเยี่ยมในวันนี้
“ผมก็ดีใจครับ ตอนนี้เรายังไม่ได้ดูออสเตรเลีย เพราะว่าเราต้องโฟกัสที่บาห์เรนก่อน แต่หลังจากนี้ก็น่าจะได้ดูออสเตรเลีย
ภาพ: AFC
“ผมคิดว่าเราทำได้ดีกว่าซีเกมส์ เพราะตอนนั้นเหมือนเราจูนกันไม่ค่อยติดเท่าไร ก็เลยทำผลงานได้ไม่ดี แต่พอมารายการนี้ ด้วยความคุ้นเคยจากซีเกมส์ก็ทำให้ทีมทำผลงานได้ดีขึ้นระดับหนึ่ง
“สภาพร่างกายตอนนี้ตึงๆ นิดหน่อย ผมก็หวังเหมือนกันว่าอยากไปโอลิมปิกครับ”
จากคำยืนยันของโค้ชสู่นักเตะ เป้าหมายเดียวกันของพวกเขาคือโอลิมปิก แต่สิ่งที่มีเหมือนกันของสมาชิกช้างศึกอีกอย่างในวันนี้คือความพร้อมในการทำงานร่วมกันเป็นทีม
แน่นอน เกมต่อไปกับออสเตรเลียจะเป็นเกมที่ยากลำบากอีกเกมหนึ่งสำหรับทีมชาติไทย แต่สิ่งที่เราสามารถยกระดับขึ้นไปได้อีกในฐานะแฟนบอลคือเสียงเชียร์ในสนาม
โดยสถิติในวันแรกอยู่ที่ 7,076 คน จากความจุ 40,000 กว่าคนในสนามราชมังคลากีฬาสถาน และหลังจากผลการแข่งขันในวันแรกที่นักเตะไทยได้ยกระดับฟอร์มการเล่นขึ้นมาแล้ว
เราจึงอยากเชิญชวนแฟนบอลชาวไทยเข้าร่วมยกระดับเสียงเชียร์ ให้กำลังใจช้างศึกวัยเยาว์เดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์ไปสู่โอลิมปิกให้ได้อีกครั้งตามเป้าหมาย
ภาพ: AFC
สำหรับเกมต่อไป ทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีจะพบกับออสเตรเลียที่สนามราชมังคลากีฬาสถานในวันที่ 11 มกราคมนี้ เวลา 20.15 น. โดยมีการถ่ายทอดสดทางช่อง 7HD
แต่หากใครมีโอกาสและเวลาก็อยากขอเชิญชวนให้เข้ามาร่วมส่งกำลังใจถึงขอบสนาม เพราะเรายืนยันว่าจะเป็นหนึ่งในผู้ที่เดินทางไปครบทุกสนามที่ทีมชาติไทยลงแข่งขันในรายการนี้อย่างแน่นอน!!
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์