วันนี้ (21 ตุลาคม) ในการประชุมวุฒิสภาครั้งที่ 18 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 1) ที่มี มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม เทวฤทธิ์ มณีฉาย สว. ถาม พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่ากระทรวงแรงงาน ถึงความคืบหน้านโยบายการขึ้นค่าแรง 400 บาทว่า มีหลักประกันอะไรหรือไม่ที่จะไม่สะดุดอีก รวมถึงสาเหตุที่ไม่สามารถเปิดประชุมคณะกรรมการค่าจ้างได้ถึง 2 ครั้ง
พิพัฒน์กล่าวถึงหลักประกันการปรับค่าแรงขั้นต่ำที่ 400 บาททั่วประเทศว่า จากการนัดประชุมคณะกรรมการไตรภาคี 3 ฝ่าย ครั้งแรกวันที่ 14 กันยายน ซึ่งสาเหตุมาจากฝ่ายนายจ้างไม่เข้าร่วมประชุม และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 20 กันยายน ฝ่ายลูกจ้างจำนวน 2 คน ไม่ได้เข้าร่วมการประชุม นอกจากนี้ยังมีฝ่ายข้าราชการ ตัวแทนกระทรวงแรงงาน, ตัวแทนสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, ตัวแทนกระทรวงพาณิชย์ และตัวแทนธนาคารแห่งประเทศไทย รวมจำนวน 4 คน
พิพัฒน์กล่าวว่า หากวันนั้นมีการเข้าประชุมครบ 2 ใน 3 และหากมีหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไม่เข้าประชุม โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาล ทางฝ่ายนายจ้างก็ต้องโหวตสวนการขึ้นค่าแรง 400 บาทอย่างแน่นอน และตนไม่อยู่ในที่ประชุม จึงไม่ทราบว่าเกิดเหตุการณ์อะไรในขณะนั้น เหตุใดถึงไม่มีการเข้าร่วมประชุมกว่า 5-6 คน
พิพัฒน์กล่าวอีกว่า ประเทศไทยประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทเมื่อปี 2555 และตลอดระยะเวลากว่า 12 ปีที่ผ่านมา เหตุใดจึงไม่สามารถขึ้นค่าแรงได้ เนื่องจากหากดูตัวเลขการเติบโตของ GDP ในแต่ละปี ตนมั่นใจว่าเกิน 3% ดังนั้นหากมองให้เป็นธรรมกับฝ่ายลูกจ้างหรือผู้ใช้แรงงานก็ควรจะสามารถขึ้นได้ปีละ 3% คือ ขึ้น 9 บาทต่อปี จากฐาน 300 บาท ซึ่งตลอดระยะเวลา 12 ปี หากขึ้นค่าแรงตามฐานของการเจริญเติบโต GDP และอัตราค่าเงินเฟ้อ ตนมั่นใจว่าขณะนี้ก็จะไม่ต้องมานั่งถกเถียงกันว่าเหตุใดค่าแรงขั้นต่ำของประเทศไทยถึงยังไม่ถึง 400 บาท
“แม้รัฐบาลจะไม่ได้ประกาศเป็นนโยบายของรัฐบาล ดังที่ผู้ทรงเกียรติว่าผมต้องรับเผือกร้อน แต่ยืนยันว่า นี่ไม่ใช่เผือกร้อน แต่เป็นหน้าที่ของกระทรวงแรงงานที่เรายืนอยู่บนความเป็นกลางระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง”
พิพัฒน์กล่าวอีกว่า การขึ้นค่าแรง 400 บาทนั้นถูกพูดมาแล้ว 2 รัฐบาล โดยรัฐบาลปัจจุบันตั้งเป้าเอาไว้ว่าในปี 2570 ต้องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาท จึงมองว่าก่อนจะถึงขั้นนั้นหรือไม่ ในปีนี้ต้องพูดคุยถึงค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทก่อน ขณะนี้คณะกรรมการไตรภาคีฝ่ายรัฐบาลยังมีกรรมการไม่ครบทั้ง 5 คน ซึ่งตนมอบหมายให้ปลัดกระทรวงแรงงานทำจดหมายถึงธนาคารแห่งประเทศไทยว่า บุคคลที่ส่งมาเป็นตัวแทนขณะนี้เกษียณอายุราชการไปแล้ว 1 ปี ยังถือว่าเป็นสัดส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทยหรือไม่ หรือเป็นสัดส่วนของฝ่ายรัฐบาล ซึ่งเรื่องนี้ตนจะนำไปหารือต่อคณะกรรมการกฤษฎีกาและคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ความชัดเจนต่อไป
พิพัฒน์ยอมรับถึงปัญหาเรื่องการขาดประชุมของคณะกรรมการค่าจ้างว่า กฎหมายไม่มีบทลงโทษกำหนดไว้ว่า หากไม่มาประชุมในแต่ละครั้งจะสอบสวนหรือไม่ เพียงแต่กำหนดไว้ว่าหากมีกรรมการคนใดไม่มาประชุม 3 ครั้งเป็นเวลาติดต่อกันโดยไม่มีเหตุผล ตนสามารถหารือกับฝ่ายกฎหมายในคณะกรรมการกฤษฎีกาอีกครั้งว่า หากเกิดเหตุลักษณะนี้จะเปลี่ยนคณะกรรมการค่าจ้างได้หรือไม่ ทั้งนี้ต้องรอคำตอบจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน
พิพัฒน์กล่าวย้ำอีกว่า ตนไม่ได้นิ่งนอนใจ ต้องพยายามอย่างเต็มที่ และยังมั่นใจว่าจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทภายในปีนี้ของบางธุรกิจ ส่วนธุรกิจที่ยังไม่ขึ้น 400 บาท ก็จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำตามปกติ โดยก่อนสิ้นปีก็จะมีประกาศของคณะกรรมการไตรภาคีอยู่แล้ว ซึ่งในปีนี้อาจประกาศ 2 ช่วง เพียงแต่ขอให้ข้าราชการในกระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเข้ามาทำหน้าที่อย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจากผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องเป็นประธานคณะอนุกรรมการไตรภาคีของแต่ละจังหวัด และหากทุกอย่างเรียบร้อยก็จะประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำตามปกติได้จำนวน 2 ครั้ง