เมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) โพสต์ข้อมูลเรื่องสินเชื่อรายย่อยและหนี้เสียในระบบ (ที่เครดิตบูโรจัดเก็บ) ของไทย ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า
สรุปตัวเลขสิ้นสุดเดือน 8 (สิงหาคม 2567) ซึ่งขอเน้นว่ายังไม่เห็นหรือรวมผลกระทบจากการที่เกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่ โดยตัวเลขที่น่าสนใจจะเป็นตัวเลขสิ้นสุดไตรมาส 3 (กันยายน 2567) ซึ่งจะออกมาในช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- วิกฤตหนี้หนักกว่าต้มยำกุ้ง เสี่ยงลามรายได้สูง เงินเดือน 5 หมื่นมีอาการ! | Exclusive Interview EP.6
- หนี้ครัวเรือนไทยใกล้ระเบิด! เฉียด 90% เสี่ยงฉุด GDP ไทยโตต่ำศักยภาพ | Exclusive Interview EP.7
- หนี้เสีย คนไทยพุ่ง 12.2% ใน Q2 เครดิตบูโรเตือน NPL มีโอกาสนิวไฮ หากรายได้-เศรษฐกิจไม่ฟื้น
จากภาพที่แสดงมีความหมายดังนี้
- จากฐานข้อมูลสถิติที่ไม่มีตัวตนของเครดิตบูโร ครอบคลุมหนี้สินรายย่อยของประชาชนที่ไม่รวมลูกหนี้นิติบุคคลนั้น ซึ่งรวบรวมจากสถาบันการเงินสมาชิกเครดิตบูโรกว่า 158 แห่ง พบว่า มียอดสินเชื่อ 13.63 ล้านล้านบาท มีการเติบโต 0.8%YoY, 0.0%MoM คือแทบไม่มีการเติบโต
- หนี้เสีย หรือ NPL มาหยุดอยู่ที่ 1.18 ล้านล้านบาท เคลื่อนที่ช้าๆ ไปสู่จุด 1.2 ล้านล้านบาท ตามที่คาดการณ์ไว้เมื่อต้นปี 2567 คิดเป็นอัตราส่วน 8.7% ของยอดสินเชื่อรวม
แน่นอนว่าหนี้เสียก้อนนี้ที่ค้างเกิน 90 วัน กำลังรอมาตรการแก้ไขแบบแรงๆ มีแรงจูงใจสูงทั้งเจ้าหนี้ ลูกหนี้ ให้เข้ามาตกลงกัน ภายใต้กติกาที่ผู้กำกับดูแลน่าจะได้ขยับเข้ามากระชับพื้นที่
- หนี้กำลังจะเสีย หรือหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ หรือ SM ในเดือนสิงหาคม 2567 ในระบบของเครดิตบูโร มาหยุดอยู่ที่ 6.4 แสนล้านบาท คิดเป็น 4.7% นิ่งๆ ซึ่งมาตรการปรับโครงสร้างหนี้เชิงป้องกัน หรือ Preemptive Debt Restructure (DR) ที่เริ่มให้บันทึกข้อมูลในระบบเครดิตบูโรตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 ตอนนี้มียอดสะสมจนถึงเดือนสิงหาคม 2567 คิดเป็นจำนวน 1 ล้านบัญชีเศษ
“ผมก็ไม่รู้ว่าทำกันมากน้อย เพราะไม่มีตัวเลขเปรียบเทียบก่อนหน้าเดือนเมษายน 2567 เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้เก็บข้อมูลนี้ จำนวนเงินที่ทำ DR สะสมจนถึงตอนนี้ 5.4 แสนล้านบาท”
มาตรการนี้เป็นเหมือนฝายทดน้ำไม่ให้ SM ไหลไปเป็น NPLs เพราะตามเกณฑ์การให้สินเชื่อที่รับผิดชอบ เจ้าหนี้ต้องยื่นข้อเสนอให้ลูกหนี้ ถ้าเห็นว่าลูกหนี้จะผ่อนตามเงื่อนไขเดิมไม่ไหว กล่าวคือปรับโครงสร้างหนี้ก่อนที่จะค้างเกิน 90 วัน ที่กำลังมีจำนวนทวีเพิ่มคือลูกหนี้เริ่มร้องมาที่เครดิตบูโรว่า พอไปทำ DR มันกลายเป็นเหตุที่ทำให้ขอสินเชื่อไม่ได้ ถูกปฏิเสธ หรือลูกหนี้บางรายบอกว่าเขายอมเข้าโครงการ DR เพราะนึกว่าไม่ใช่การปรับโครงสร้างหนี้ที่จะใส่รหัสไว้ในรายงานเครดิตบูโร บางรายก็บอกว่าข้อเสนอเจ้าหนี้ที่ให้ทำ DR ไม่ได้พูดชัดเจนว่าถ้าทำแล้วอาจได้รับผลกระทบอะไรบ้าง กล่าวสรุปคือบอกว่า ถ้ารู้ว่าจะโดนปฏิเสธสินเชื่อก็อาจไม่เข้าโครงการ DR
“ท่านที่ออกกติกาครับ โปรดลงไปพูดจาให้เกิดการปฏิบัติอย่างที่ท่านมุ่งหมายด้วยนะครับ เป้าตัวเลขที่อยากได้จากสถาบันการเงินเจ้าหนี้ กับปริมาณคำร้องที่มันเริ่มทวีมากขึ้น ท่านต้องรับด้วยนะครับ ถ้าเอาใจลูกหนี้มากก็เละ ถ้าไม่ชัดกับเจ้าหนี้มันก็ละล้าละลังกันไปทั้งขบวน สถานการณ์แบบ ‘กลับก็ไม่ได้ ไปก็ไม่ถึง’ ถ้ายังเป็นแบบนี้ ขยันทำอยู่ผิดที่ 10 ปีก็ไม่ถึงเป้าหมายครับ”
- ภาพต่อมาคือข้อมูลบางส่วนที่ท่านเลขาฯ กนง. นำออกมาแถลงชี้แจงผลการตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. กล่าวคือท่านผู้อ่านจะเห็นว่าการเติบโตของสินเชื่อทุกประเภทที่แสดงนั้นเติบโตในอัตราลดลง โดยเฉพาะเส้นสีฟ้าคือสินเชื่อ SME ติดลบ 3.3% ขณะที่ NPLs ของสถาบันการเงิน (โปรดดูคำนิยามนะครับว่าครอบคลุมใครบ้าง เดี๋ยวจะงงว่าครบไม่ครบ) โดยเฉพาะ SMEs มันไปถึง 9.1% (ดูคำนิยามด้วยครับว่าใครคือ SMEs) ต่อด้วยสรุปประเด็นสำคัญจากการตัดสินใจของ กนง. ว่าเหตุปัจจัยที่ออกมา 5:2 ให้ลดดอกเบี้ยนโยบายนั้นคืออะไร
มีข้อมูลเพิ่มเติมเล็กๆ คือบัญชีสินเชื่อที่ถือว่าเป็นหนี้เรื้อรังที่ควรต้องได้รับการแก้ไข (Severe PD) ได้รับข้อเสนอจากเจ้าหนี้ให้เข้าโครงการแก้ไข และลูกหนี้ตอบรับการเข้ากระบวนการแก้ไขมีจำนวนเพียง 5,300 บัญชี จากจำนวน 5 แสนบัญชีที่เข้าข่ายหนี้เรื้อรัง (ข้อมูลตามการแถลง) คิดเป็นเงินที่เก็บข้อมูลได้ว่า เข้าโครงการปิดจบใน 5 ปีที่ดอกไม่เกิน 15% มีจำนวน 247 ล้านบาท จากยอดที่เข้าข่ายเป็นหนี้เรื้อรังทั้งหมดประมาณ 9.7 หมื่นล้านบาท (ข้อมูลตามการแถลงเช่นกัน)
สุดท้ายผมใคร่ขอเสนอเพื่อเป็นเครื่องเจริญสติว่า เมื่อเรามีตำแหน่งหน้าที่ตามที่เรามุ่งหวัง ทะเยอทะยาน มุ่งมั่นเติบโตจนมาถึงตำแหน่งแห่งที่นี้ หรือตัวเราในอดีตสมัครเข้ามาทำหน้าที่นั้นแล้ว อย่าลืมวันนั้น อย่ากลัววันนี้ที่จะเสียตำแหน่ง แต่ควรกลัวที่จะไม่ได้ใช้ตำแหน่งแห่งที่ อำนาจวาสนานั้นในเวลานี้ที่อยู่ในมืออย่างเต็มศักยภาพ คุ้มกับค่าจ้าง คุ้มกับความสนับสนุนเพื่ออำนวยผลประโยชน์ในทางบวกแก่ผู้คน (เปราะบาง แม้ไม่มีคำนิยามชัดจนถูกกล่าวว่ามันคือเพียง ‘วาทกรรม’ เพื่อให้ดูดี)
ตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนาน (การทำเรื่องดีๆ) นั้นอยู่ตลอดไป
อ้างอิง: