×

อ๊อฟ ศุภณัฐ ยืนยันไม่ได้เป็นแม่ข่าย ‘ดิไอคอนกรุ๊ป’ เคยลงทุนเปิดบิลระดับดีลเลอร์เพราะอยากช่วยแม่ที่เริ่มทำก่อน

โดย THE STANDARD TEAM
15.10.2024
  • LOADING...
อ๊อฟ ศุภณัฐ

วันนี้ (15 ตุลาคม) ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง อ๊อฟ-ศุภณัฐ เฉลิมชัยเจริญกิจ พร้อมแม่ นำหลักฐานเข้าแจ้งความกรณีเคยลงทุนกับบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด (The iCon Group Co., Ltd.) และปรากฏภาพว่าเป็นหนึ่งในแม่ข่าย (หัวหน้าทีม) ด้วย

 

ศุภณัฐกล่าวว่า ตนได้รวบรวมหลักฐานการใช้บัตรเครดิตเพื่อจ่ายเงินให้กับบริษัททั้งของตนและของแม่ การแจ้งความในวันนี้เพื่อต้องการยืนยันความบริสุทธิ์ใจว่าตนและแม่ก็เป็นหนึ่งในผู้เสียหายที่ไปร่วมลงทุน ไม่ได้เป็นแม่ข่ายตามที่ถูกกล่าวหา

 

โดยเมื่อช่วงโควิดที่ผ่านมาแม่ของตนได้รับแอดเพื่อนของบริษัทนี้ ช่วงนั้นแม่เป็นผู้สูงอายุที่ว่างงานและต้องการจะหาเงินมาช่วยเหลือตนที่ไม่มีงานตอนนั้น ตนก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่แม่เข้าไปทำคืออะไร ซึ่งตอนที่แม่เข้าไปตอนแรกเป็นช่วงโควิด การตลาดก็จะเป็นอีกแบบ มีแต่การประชุมทางออนไลน์ แต่หลังจากนั้นการตลาดก็เปลี่ยนไปอีกแบบ เริ่มถูกชักชวนให้ออกไปประชุม แม่กลับบ้านดึกดื่น โทรมลงทุกวัน และมีงานใหญ่ก็ต้องไปนั่งฟังความสำเร็จ ซึ่งตนไม่เคยทราบมาก่อน เพิ่งมารู้ตอนเป็นข่าว

 

ยอมรับว่าตอนนั้นแม่อยากเป็นนักเรียนดีเด่น เป็นนักธุรกิจที่โตเร็ว ซึ่งก็ได้รับการชักชวนจากแม่ทีมว่าถ้าอยากโตต้องลงทุนเยอะ แม่เลยเปิดบิลระดับดีลเลอร์ 2.5 แสนบาท ซึ่งตอนนั้นแม่ก็มาชักชวนให้ตนทำด้วย แต่ตนไม่รู้และไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร ถ้าตนจะทำเองต้องศึกษาให้ดีก่อน จึงไม่ทำ แต่เห็นใจแม่ที่ต้องหาลูกทีม จึงไปเป็นลูกทีมของแม่ ช่วยเปิดบิลไปอีก 2.5 แสนบาท และแม่ยังได้ไปชวนญาติพี่น้องอีกประมาณ 8-10 คนมาเปิดบิล รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท

 

ศุภณัฐกล่าวยืนยันว่าตนเองบริสุทธิ์ ไม่ได้ไปชวนใครต่อ ไม่มีสายเป็นของตัวเอง ไม่มีลูกข่ายแน่นอน ส่วนแม่อยู่ในวังวนนั้นประมาณ 1 ปี พอรู้ว่าของขายไม่ได้จึงเลิกทำไป ซึ่งเท่าที่มาไล่ยอดเงินดูเมื่อคืนนี้พบว่าส่วนของแม่ได้จ่ายเงินไปทั้งหมดประมาณ 7 แสนบาท ส่วนของตนประมาณ 3 แสนบาท

 

โดยจำนวนเงินที่จ่ายไปนอกเหนือจากการเปิดบิลระดับดีลเลอร์ 2 คนรวมกัน 5 แสนบาทแรกนั้น ก็เป็นการที่บริษัทออกโปรโมชันสินค้าใหม่ๆ และมาชักชวน บอกให้คนขายซื้อทดลองใช้ จึงมีการจ่ายเงินเพิ่มไปเรื่อยๆ

 

อย่างไรก็ตาม สินค้าที่ได้มาเอามาใช้จริง เช่น กาแฟ ตนและแม่ก็เอามานั่งดื่มกันทุกวัน ซึ่งยอมรับว่าสินค้านั้นดีจริง แต่ข้อเสียคือการทำการตลาดที่ฮาร์ดคอร์มากเกินไป ทำให้ทุกบ้านมีสินค้า มีคนขาย แล้วสุดท้ายใครจะซื้อ ราคาขายปลีกก็สูงกว่ากันมาก สุดท้ายแล้วสินค้าจึงถูกนำมากองรวมกัน ไม่สามารถขายได้ ต้องนำมากินเองหรือนำไปแจกคนข้างบ้าน

 

และพอเป็นข่าว ตนก็เลยมาทราบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันจริงอย่างที่ทุกคนบอก ว่าธุรกิจนี้ไม่ได้เน้นการขายแต่เน้นการสอนคนให้ชวนคนมาลงทุนซื้อสินค้าจำนวนมาก

 

ส่วนข้อมูลที่ว่าตนเป็นแม่ข่ายนั้น ตนเพิ่งเห็นเมื่อวานนี้ เพราะมีเพื่อนทักมาแซวว่าเป็นบอสอ๊อฟและบอสจอย

 

ส่วนโฆษณาสินค้าที่มีการใช้รูปตนและเขียนว่าเป็น Founder นั้น ตนไม่ทราบว่าใครเป็นคนทำและตนไม่เคยอนุญาตให้นำรูปดังกล่าวไปใช้ โดยรูปนี้เป็นรูปที่ตนถ่ายไว้ตอนไปถ่ายรายการ และถูกนำไปใช้ในหลายๆ กรณี ทั้งงานบุญ งานบวช ซึ่งตนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า Founder ของธุรกิจนี้หมายความว่าอะไร ถ้าตนเป็นผู้ก่อตั้งจริงคงรวยเป็นพันล้านไปแล้ว โดยจะพิจารณาว่าถ้าหากการกระทำนี้ทำให้เกิดปัญหาในอนาคตก็จะแจ้งความดำเนินคดีด้วย

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X