เปิดฉากสู่ปรากฏการณ์ใหม่แห่งวงการการตลาด! ผู้บริโภคไทยกำลังเขย่าโลกธุรกิจด้วยพลังแห่งการปรับตัวท่ามกลางคลื่นเศรษฐกิจที่ปั่นป่วน พวกเขากำลังเปลี่ยนกฎเกณฑ์การเล่นเกมทางการตลาดครั้งใหญ่ ด้วยพฤติกรรมการบริโภคที่พลิกโฉมไปอย่างสิ้นเชิง แบรนด์ต่างๆ กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งสำคัญนั่นคือ ‘ปรับตัวให้ทัน’ หรือ ‘ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง’ ในโลกแห่งการแข่งขันที่ดุเดือดยิ่งกว่าที่เคย
จากการเปิดเผยข้อมูลล่าสุดโดย ชินตา ศรีจินตอังกูร Thailand Site Leader บริษัท นีลเส็นไอคิว (ประเทศไทย) จำกัด ในงาน THAILAND NOW & NEXT: Thriving through The Economic Instability ที่จัดขึ้นโดย LINE for Business ฉายภาพให้เห็นถึงพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลนี้ไม่เพียงแต่เผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลง แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนสำหรับธุรกิจทุกขนาดที่ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับโลกการตลาดที่กำลังจะเปลี่ยนไป
แม้ 35% ของผู้บริโภคไทยจะยังมองว่าสภาพคล่องทางการเงินของตนแย่ลงในปีนี้ โดยมีความกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น แต่น่าสนใจว่าความกังวลเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่เคยเป็นปัญหาใหญ่กลับเริ่มคลี่คลายลง สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวที่ดีขึ้นของผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายยังคงเป็นไปอย่างรอบคอบและมุ่งเน้นความคุ้มค่ามากกว่าเดิม การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อ แต่ยังกระทบต่อกลยุทธ์ทางการตลาดของแบรนด์ต่างๆ อย่างมีนัยสำคัญ
ที่น่าสนใจคือ ผู้บริโภคไทยไม่ได้ยอมแพ้ต่อสถานการณ์ แต่กลับมองหาโอกาสในการเพิ่มรายได้ โดย 84% ของคนไทยกำลังมองหาช่องทางสร้างรายได้เพิ่มเติม นอกจากนี้ 46% มีรายได้จากทรัพย์สินหรือมรดก และ 45% ยินดีที่จะสร้างหนี้เพื่อซื้อสิ่งที่ต้องการ
สะท้อนให้เห็นถึง ‘ความมุ่งมั่น’ ของผู้บริโภคไทยในการรักษาคุณภาพชีวิตและความสามารถในการจับจ่ายใช้สอย ปรากฏการณ์นี้เปิดโอกาสให้แบรนด์ต่างๆ สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ ของผู้บริโภคได้
นิยามของคำว่า ‘คุ้มค่า’ ในสายตาผู้บริโภคยุคใหม่ขยายขอบเขตออกไปไกลกว่าแค่เรื่องราคา โดย 78% ของผู้บริโภคไทยมองหาความแปลกใหม่ควบคู่กับราคาที่เหมาะสม ในขณะที่ 78% ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและการประหยัดพลังงาน 69% สนใจเรื่องสุขภาพ และ 66% ให้ความสำคัญกับวัตถุดิบจากธรรมชาติ
การเปลี่ยนแปลงนี้บ่งชี้ว่า แบรนด์ต่างๆ จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การนำเสนอคุณค่าของผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับมุมมองใหม่ของผู้บริโภค
ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ กลุ่ม Gen Z และ Millennial ยินดีจ่ายเพิ่มสำหรับสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ โดย 66% ของคนไทย โดยเฉพาะ Gen Z ยินดีจ่ายเพิ่มสำหรับสินค้าที่สร้างประสบการณ์พิเศษ ในขณะที่ 71% ของกลุ่ม Gen X ยอมจ่ายมากขึ้นเพื่อความสะดวกสบาย
และ 76% ของ Millennial พร้อมลงทุนกับสินค้าที่เพิ่มประสบการณ์ในบ้าน ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่า แบรนด์ต้องปรับกลยุทธ์การตลาดให้เฉพาะเจาะจงกับแต่ละกลุ่มอายุมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน
มองไปข้างหน้า ปี 2025 มีแนวโน้มสำคัญที่น่าจับตา 3 ประการ ได้แก่
- การตลาดแบบผสมผสานรูปแบบใหม่ ที่ผู้บริโภคจะมีเส้นทางการช้อปที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การดูสินค้าที่หน้าร้านแต่สั่งซื้อออนไลน์ หรือการเปรียบเทียบราคาระหว่างช้อปปิ้ง แบรนด์จึงต้องพัฒนากลยุทธ์การตลาดแบบ Omni-Channel ให้ไร้รอยต่อมากขึ้น
- ความพร้อมด้าน AI ที่ผู้บริโภคเปิดรับมากขึ้นแต่ยังมีความกังวลในบางประเด็น โดยเฉพาะเรื่องความเป็นส่วนตัวและการใช้ข้อมูล แบรนด์จึงต้องระมัดระวังในการนำ AI มาใช้ โดยต้องสร้างความไว้วางใจควบคู่ไปด้วย
- ต้นทุนสินค้าที่สูงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การ ‘ตัดใจ’ เลิกซื้อสินค้าบางประเภทของผู้บริโภค โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยหรือไม่จำเป็น แบรนด์จึงต้องพิจารณาปรับขนาดบรรจุภัณฑ์หรือหาวิธีลดต้นทุนโดยไม่กระทบคุณภาพ
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้งคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ แบรนด์ต้องใส่ใจทุกจุดสัมผัสตลอดเส้นทางการซื้อของลูกค้า ตั้งแต่ช่วงก่อนการตัดสินใจซื้อ ไปจนถึงประสบการณ์การใช้งานจริง และการประเมินความพึงพอใจหลังการใช้งาน การสร้างประสบการณ์ที่ประทับใจในทุกขั้นตอนจะนำไปสู่ความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว
นอกจากนี้ แบรนด์ยังต้องตระหนักถึงความสำคัญของการสื่อสารผ่านช่องทางดิจิทัล โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z และ Millennial การสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและมีคุณค่า รวมถึงการร่วมมือกับอินฟลูเอ็นเซอร์ที่เหมาะสม จะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและความน่าเชื่อถือของแบรนด์
ในท้ายที่สุด คำถามสำคัญที่ทุกแบรนด์ต้องถามตัวเองคือ ในยุคที่ผู้บริโภคมีความซับซ้อนและคาดหวังสูงขึ้นเช่นนี้ คุณพร้อมที่จะปรับตัวและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนไปของพวกเขาได้อย่างไร? การตอบคำถามนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดที่ท้าทายนี้
