Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta เคยเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก เมื่อการลงทุนใน Metaverse ทำให้มูลค่าทรัพย์สินของเขาลดลงกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าการเดิมพันครั้งนั้นกำลังจะเริ่มผลิดอกออกผล
ด้วยราคาหุ้น Meta ที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ Zuckerberg เพิ่มขึ้นเกือบ 6 เท่า ในเวลาไม่ถึง 2 ปี สู่ระดับ 2.01 แสนล้านดอลลาร์ ทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 4 ของโลก ตามหลัง Elon Musk, Jeff Bezos และ Bernard Arnault
แม้ว่ามหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีรายอื่นๆ จะมีมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีนี้ เช่น Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA ที่มีมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า เป็น 1.06 แสนล้านดอลลาร์ แต่ก็ไม่มีใครเติบโตได้เท่า Zuckerberg ที่เพิ่มขึ้นถึง 7.34 หมื่นล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ต้นปี
ในปี 2022 หุ้นของ Meta และมูลค่าทรัพย์สินของ Zuckerberg ดิ่งลงเหว หลังจากที่บริษัทได้เปลี่ยนชื่อและทุ่มเงินลงทุนมหาศาลใน Metaverse ในขณะนั้น Meta กำลังดิ้นรนเพื่อปรับตัวเข้ากับวิดีโอสั้น ในขณะที่คู่แข่งอย่าง TikTok กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าการเปลี่ยนแปลงจาก Facebook สู่ Meta กำลังเริ่มเห็นผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบริษัทมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาแว่นตา Augmented Reality (AR) อย่าง Orion
นักวิเคราะห์จาก JMP Securities กล่าวว่า “ด้วยการผสมผสานระหว่างการปรับปรุงฮาร์ดแวร์ของ Meta ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และความก้าวหน้าด้าน AI ทำให้ Orion เป็นตัวแทนของวิวัฒนาการของ Meta จากบริษัทโซเชียลมีเดียไปสู่บริษัท Metaverse”
นอกจากการลงทุนใน Metaverse แล้ว Meta ยังได้ดำเนินมาตรการอื่นๆ เพื่อปรับปรุงผลประกอบการของบริษัท เช่น การลดพนักงานหลายหมื่นคน, โครงการซื้อหุ้นคืนมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ และการจ่ายเงินปันผลเป็นครั้งแรก
ขณะเดียวกัน การฟื้นตัวของ Meta ยังมาจากการปรับตัวเข้าสู่ตลาดวิดีโอสั้นและการลงทุนอย่างหนักใน AI อีกด้วย
นอกจากความสำเร็จทางธุรกิจแล้ว ภาพลักษณ์ของ Zuckerberg ก็เปลี่ยนไปอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จากเดิมที่ถูกมองว่าเป็นนักเทคโนโลยีเนิร์ดๆ ตอนนี้เขากลายมาเป็นคนที่สนใจกีฬาทางน้ำและศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน (MMA)
นอกจากนี้เขายังประกาศว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกต่อไป หลังจากที่เคยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นทางสังคมและการเมืองในอดีต
ภาพ: Laure Andrillon / Reuters
อ้างอิง: