ในที่สุดสหรัฐฯ ก็เริ่มเข้าสู่วัฏจักรลดดอกเบี้ยอย่างเป็นทางการ หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลดดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี เปิดด้วยการใช้ยาแรง ลดดอกเบี้ยถึง 0.5% เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2024 โดยความเห็นของคณะกรรมการชี้ให้เห็นว่า Fed มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 0.50% หรือครั้งละ 0.25% ในการประชุมอีก 2 ครั้งที่เหลือในปีนี้ ส่วนในปีหน้ามีโอกาสลดอีก 1% ซึ่งดูแล้วเป็นอัตราการลดลงที่ไม่ได้รวดเร็วมากนัก จนมีคำกล่าวว่า เหมือนกับการลงบันไดเลื่อน ต่างจากการขึ้นลิฟต์ในช่วงการขึ้นดอกเบี้ยเมื่อปี 2022
ตามที่เราเข้าใจกันคือการลดดอกเบี้ยมักจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีความเกี่ยวข้องกับนโยบายการเงินของ Fed โดยตรง ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นล่าสุดก็เป็นจริงตามนั้น หลังดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นทะลุ 5,700 จุด ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ดี ในระหว่างที่เรากำลังเพลิดเพลินกับหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ความไม่แน่นอนหลายอย่างก็กำลังเข้ามาในระยะข้างหน้า อย่างเช่นมุมมองด้านเศรษฐกิจของ Fed ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องคำนึง หลัง Fed ปรับคาดการณ์ GDP ปี 2024 ลงเหลือโต 2% จาก 2.1% และคาดอัตราว่างงานปี 2024 จะสูงขึ้นสู่ 4.4% จาก 4% ซึ่งอาจสร้างความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรืออย่างแย่คือการเกิดภาวะถดถอย ขณะเดียวกัน มูลค่าหุ้นสหรัฐฯ ก็อยู่ในระดับที่ค่อนข้างตึงตัวมากขึ้น โดย Forward P/E ใน 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 21.7 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่อยู่ราว 20 เท่า รวมถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังใกล้เข้ามาในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยตัวเลขสถิติในอดีตบ่งชี้ว่า โดยเฉลี่ยแล้วหุ้นสหรัฐฯ มักปรับตัวลงก่อนการเลือกตั้งดังภาพที่ 1 สิ่งเหล่านี้มีโอกาสทำให้ Upside ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความจำกัดมากขึ้นในระยะสั้น
ไม่ใช่เพียงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้นเด่น หากข้ามฟากมายังฝั่งเอเชีย เราจะเห็นตลาดหุ้นเวียดนามที่ได้รับอานิสงส์ไม่แพ้กัน เนื่องจากตลาดหุ้นเวียดนามมักจะได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่อยู่ในทิศทางขาลง เพราะจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบดองเวียดนามมีแนวโน้มอ่อนค่าลงด้วย กล่าวคือดองเวียดนามแข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ตลาดหุ้นเวียดนามยังมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัวที่นอกจากเศรษฐกิจจะมีความแข็งแกร่งแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยที่นักลงทุนลุ้นกันมาตลอดคือการยกระดับจากปัจจุบันที่เป็นตลาดชายขอบ (Frontier Market) ขึ้นสู่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ซึ่งล่าสุดเวียดนามประกาศยกเลิกการใช้ Prefunding ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยเป็นการให้นักลงทุนสถาบันต่างชาติสามารถซื้อหุ้นได้โดยไม่ต้องวางเงินเต็มจำนวนล่วงหน้า 100% นับว่าเป็นหนึ่งในคุณสมบัติสำคัญของการเลื่อนระดับสู่สถานะตลาดเกิดใหม่ โดยคาดว่าจะทำให้เวียดนามได้รับการอัปเกรดอย่างเร็วที่สุดในเดือนมีนาคมหรือกันยายน 2025
อีกหนึ่งตลาดหุ้นสำคัญของฝั่งเอเชียที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ ตลาดหุ้นฮ่องกง แม้ว่าหุ้นฮ่องกงจะกลับลงมาซึมๆ หลังปรับขึ้นเด่นเมื่อช่วงต้นปี เพราะเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่นักลงทุนคาดหวังกันไว้ แต่ล่าสุดเริ่มมีสัญญาณที่ดีสร้างความหวังขึ้นมาอีกครั้ง โดยรัฐบาลจีนมีแผนที่จะเข็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติม เช่น กระตุ้นการบริโภค และการลงทุนของกลุ่มธุรกิจ ขณะที่หุ้นเทคโนโลยีก็เป็นกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าตลาดในช่วงที่ผ่านมา นำโดย Alibaba ที่ได้รับปัจจัยบวกจากการได้เข้าซื้อขายบนโปรแกรม Stock Connect ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนจีนแผ่นดินใหญ่เข้าถึงหุ้น Alibaba ในฮ่องกงได้เป็นครั้งแรก หรือ Xiaomi ที่ทำยอดขายสมาร์ทโฟนได้ดีในช่วงครึ่งปีแรก และธุรกิจรถ EV ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกก็ดูเหมือนว่าจะประสบความสำเร็จ ด้วยความที่มูลค่ายังอยู่ในระดับต่ำหลังจากถูกปัจจัยมหภาคของจีนกดดันมานาน ทำให้เรามองว่าหุ้นเทคโนโลยีในตลาดหุ้นฮ่องกงจะเริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้นนับจากนี้
ไม่น่าแปลกใจที่การลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นฝั่งเอเชียหรือแม้กระทั่งประเทศไทยเองจะมีความคึกคักมากขึ้น เพราะแรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะตลาดที่มีปัจจัยเฉพาะตัวสนับสนุนอย่างเวียดนามที่มีลุ้นได้รับการอัปเกรดขึ้นสู่สถานะตลาดเกิดใหม่ในปีหน้า หรือตลาดหุ้นฮ่องกงที่มูลค่ายังถูก สำหรับนักลงทุนไทยสามารถลงทุนในตลาดหุ้นดังกล่าวได้ด้วย DR ซึ่งซื้อขายในกระดานตลาดหุ้นไทยด้วยเงินบาทไทย ทำให้สะดวกในการซื้อขาย เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินไม่มาก และไม่มีภาระภาษีจากการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศให้กวนใจอีกด้วย โดย DR สำหรับหุ้นเวียดนาม สามารถลงทุนได้ผ่าน E1VFVN3001 ที่อ้างอิงกับ ETF ที่ลงทุนอิงดัชนี VN30 ประกอบด้วยหุ้นเวียดนามขนาดใหญ่ 30 ตัว สะท้อนการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนาม ส่วนหุ้นเทคโนโลยีของฮ่องกง สามารถลงทุนได้ผ่าน CNTECH01 ที่อ้างอิงกับ ETF ที่ลงทุนอิงดัชนี Hang Seng TECH ประกอบด้วยหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำของจีนที่เป็นที่รู้จักกันในระดับสากล โดยนักลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ DR ทั้งสองได้ที่ bualuang.co.th/dr