ในความผูกพันนั้นเจ็บปวด และนั่นคงเป็นเหตุผลที่ เอริก เทน ฮาก นายใหญ่ ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกตัวก่อนเกมที่จะพบกับเอฟซี ทเวนเต ทีมรักแรกและรักเดียวของเขาในเกมยูฟ่ายูโรปาลีกคืนนี้
“ผมติดตามดูในฐานะแฟน ไม่ใช่ในฐานะนักวิเคราะห์” เทน ฮาก ยอมรับว่าเขายังคงตามเชียร์ทเวนเตอยู่เหมือนเดิม และถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากที่จะเจอกับทีมรักของตัวเองเลย “มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีหรอกนะที่จะต้องทำร้ายในสิ่งที่เรารัก”
แต่ในคำพูดของเขา หลายคนฟังแล้วอาจไม่เห็นด้วยนัก เพราะแม้จะเข้าฤดูกาลที่ 3 ของการทำงานในโอลด์แทรฟฟอร์ด แต่ดูเหมือนเทน ฮาก จะยังแก้ปัญหาใหญ่ของทีมไม่ได้เลย
ปัญหาที่ว่าคือเกมรุกของแมนฯ ยูไนเต็ด เป็นสิ่งที่ทำร้ายทีมตัวเองได้มากกว่าทีมคู่แข่งเสียอีก
และเราจะมาว่ากันด้วยตัวเลขสถิติ ไม่ใช่ความรู้สึก!
สามง่ามแสนทื่อ
ถึงแมนฯ ยูไนเต็ด จะดูเหมือนเรียกความมั่นใจกลับมาได้ดีทีเดียวหลังจากพ่ายแพ้ต่อลิเวอร์พูลหมดรูปในศึกแดงเดือด ด้วยการยิง 10 ประตูใน 2 นัดจากเกมที่พบกับเซาแธมป์ตัน (3-0) และบาร์นสลีย์ (7-0) เรียกว่ากำลังดูเข้าที่เข้าทาง
แต่พอกลับมาลงสนามใหม่ในเกมล่าสุดกับคริสตัล พาเลซ ปัญหาเดิมๆ ก็วนกลับมาหาทีมของ เอริก เทน ฮาก อีกครั้ง เมื่อไม่สามารถเจาะประตูของทีมลอนดอนได้ในการไปเยือนที่เซลเฮิสต์พาร์ก สุดท้ายเกมจบลงด้วยการเสมอกัน 0-0
สิ่งที่ถูกพุ่งประเด็นมากที่สุดคือการดรอป มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่กำลังเริ่มเรียกความมั่นใจกลับมาให้กลายเป็นตัวสำรอง โดยเลือก อเลฮานโดร การ์นาโช ลงสนามเป็นตัวจริงแทน จนมีการตั้งคำถามกันถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเทน ฮาก กับกองหน้าสายเลือดแมนคูเนียน
แต่หากมองลงไปให้ลึกในผลงานโดยรวมแล้วจะพบว่าปัญหาเรื่องเกมรุกตีบตันเหมือนไขมันในเส้นเลือดของแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นแต่อย่างใด
เพราะใน 2 ฤดูกาลก่อนหน้านี้ (2022/23 และ 2023/24) แมนฯ ยูไนเต็ด ทำประตูในลีกได้เพียง 58 และ 57 ประตูตามลำดับ
นั่นทำให้พวกเขาเป็นทีมที่ทำประตูได้น้อยที่สุดในกลุ่มครึ่งบนของตาราง (อันดับ 1-10) ในช่วง 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา
ส่วนในฤดูกาลนี้ (2024/25) แมนฯ ยูไนเต็ด ทำประตูในพรีเมียร์ลีกได้เพียงแค่ 5 ประตูจาก 5 นัดเท่านั้น ซึ่ง 3 ในนั้นมาจากเกมที่เจอกับเซาแธมป์ตันด้วย
ความคาดหวังและความผิดหวัง
อย่างไรก็ดี เพื่อความยุติธรรมแล้วต้องบอกว่าปัญหาในเกมรุกของอดีตทีมอันดับหนึ่งของอังกฤษไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในช่วงยุคของเทน ฮาก อย่างเดียว
แต่ปัญหานั้นเริ่มมีมาตั้งแต่หลังสิ้นยุคของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งในฤดูกาลสุดท้ายที่บรมกุนซือระดับตำนานคุมทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้ 86 ประตูด้วยกัน และคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกส่งท้ายได้อย่างยิ่งใหญ่ ส่วนหลังจากนั้นไม่ว่าจะเป็น เดวิด มอยส์, หลุยส์ ฟาน กัล, โชเซ มูรินโญ, โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ และเทน ฮาก ไม่มีใครทำผลงานในระดับเดียวกันได้อีกเลย
ฤดูกาลเดียวที่ทำประตูได้มากที่สุดคือ 2020/21 ในยุคของโซลชาร์ ซึ่งทำไป 73 ประตูด้วยกัน
ในขณะที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำได้อย่างน้อย 80 ประตูในฤดูกาล นับตั้งแต่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เข้ามาคุมทีมในฤดูกาล 2016/17 โดยที่ยิงได้มากกว่า 94 ประตูถึง 6 ครั้ง และมีอีก 2 ครั้งที่ยิงได้เกิน 100 ประตูด้วยกัน
แต่ก็นั่นแหละ สำหรับทีมที่ลงทุนกับผู้เล่นในตัวรุกไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น แอนโทนี (85 ล้านปอนด์), ราสมุส ฮอยลุนด์ (64 ล้านปอนด์) และล่าสุด โจชัว เซิร์กซี (36.5 ล้านปอนด์) – ไม่นับ จาดอน ซานโช (73 ล้านปอนด์) ที่ถูกปล่อยให้เชลซียืมไปใช้งานต่อในฤดูกาลนี้ในเงื่อนไขบังคับซื้อฤดูกาลหน้า – เราควรจะคาดหวังจากพลังในเกมรุกของแมนฯ ยูไนเต็ด ได้มากกว่านี้หรือไม่?
โป้งไม่ปิดบัญชี
วนกลับไปที่เกมกับคริสตัล พาเลซ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แมนฯ ยูไนเต็ด มีค่าคาดหวังประตู (Expected Goals: xG) อยู่ที่ 2.35 ซึ่งถือว่าไม่น้อย
“เราสร้างโอกาสได้มาก” เทน ฮาก บอกไว้ แต่ปัญหาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคือแมนฯ ยูไนเต็ด จะทำประตูได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น (ต่ำกว่า xG) เสมอ
ยกตัวอย่าง เซิร์กซีที่เปิดตัวได้สวยด้วยการทำประตูในเกมกับฟูแลม แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา กองหน้าชาวดัตช์มีโอกาสในการยิงประตู 8 ครั้ง มีค่า xG อยู่ที่ 2.40 และยิงเพิ่มไม่ได้เลยตั้งแต่เกมเปิดสนามกับฟูแลม
แต่หากเจาะลงไปในสถิติจะพบว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ของน่าแปลกใจสำหรับดาวยิงรายนี้ เพราะเซิร์กซีไม่ใช่กองหน้าในสไตล์ประสิทธิภาพสูงอยู่แล้ว ในช่วงที่เล่นให้กับโบโลญญา เขาทำได้เพียง 11 ประตูจากโอกาสทั้งหมด 84 ครั้ง ซึ่งก็เป็นไปตามค่าเฉลี่ย
โดยที่ฝ่ายบริหารของแมนฯ ยูไนเต็ด ชุดใหม่ ก็เป็นคนตัดสินใจเลือกกองหน้าจอมลีลารายนี้มากกว่า โจนาธาน เดวิด จากลีลล์ หรือ ไอแวน โทนีย์ จากเบรนท์ฟอร์ด ซึ่งทั้งสองทำประตูได้เกินกว่าค่า xG ที่ควรจะเป็นด้วย
เหตุผลนั้นอาจเกิดจากการที่แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้คาดหวังจะหากองหน้าในแบบ Prolific Striker หรือแนว ‘โป้งปิดบัญชี’
พวกเขามี ราสมุส ฮอยลุนด์ ที่ทำหน้าที่นั้นอยู่แล้ว เพียงแต่ปัญหาสำหรับกองหน้าทีมชาติเดนมาร์กที่ทำให้ยังไม่สามารถระเบิดฟอร์มร้อนแรงสุดๆ ได้คือเรื่องของอาการบาดเจ็บ ซึ่งในฤดูกาลนี้ได้ลงสนามเพียงแค่ 29 นาทีเท่านั้น
ขณะที่ตัวเลือกอื่นๆ ในแนวรุก มาร์คัส แรชฟอร์ด ห่างไกลจากฟอร์มที่เคยทำได้ 30 ประตู (รวมทุกรายการ) ในฤดูกาล 2022/23 ซึ่งเป็นปีที่ดีที่สุดในชีวิตการเล่น เพราะในฤดูกาล 2023/24 ทำได้แค่ 8 ประตูจากการลงสนาม 43 นัด
อเลฮานโดร การ์นาโช เป็นตัวริมเส้นที่เร่าร้อน มีลูกฮึด ลูกมหัศจรรย์ แต่ผลประกอบการที่คาดหวังได้ยังน้อย ซึ่งก็เป็นไปตามอายุและประสบการณ์ รวมถึงสไตล์ของปีกอาร์เจนไตน์ที่ไม่ได้เป็นแนวจอมปิดบัญชีเหมือน เมสัน กรีนวูด ที่ถูกปล่อยตัวออกจากสโมสรให้โอลิมปิก มาร์กเซย ไปแล้ว
คนที่หวังได้มากที่สุดคือ บรูโน แฟร์นันด์ส ที่ทำไป 18 ประตูในพรีเมียร์ลีกให้กับทีมในยุคเทน ฮาก
แต่ 18 ประตูนี้มาจากการยิง 197 ครั้ง และในฤดูกาลนี้จากโอกาส 17 ครั้งที่กัปตันทีมชาวโปรตุเกสสับไก เป็นการยิงเข้ากรอบเพียงแค่ 3 ครั้งเท่านั้น เรียกได้ว่าไม่คาดหวังก็ไม่ผิดหวังดีกว่า
แค่ส่องกระจกก็เห็นปัญหา
ในฤดูกาลที่แล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด มีโอกาสยิงรวมทั้งฤดูกาลน้อยกว่านิวคาสเซิลแค่ครั้งเดียว แต่ทำประตูในลีกได้น้อยกว่าถึง 26 ประตู
สถิติที่น่าสนใจคือแมนฯ ยูไนเต็ด เป็นทีมที่ยิงไกลมากเป็นอันดับ 2 ของพรีเมียร์ลีก นิวคาสเซิลเป็นทีมที่ยิงไกลน้อยเป็นอันดับ 2 ในลีก
เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นข้อเท็จจริงบางอย่างเกี่ยวกับการสร้างโอกาสในแนวทางที่แตกต่างกันของสองทีม หรือหากพูดให้ตรงกว่านั้นคือเป็นเรื่องการสร้างสรรค์เกมรุกที่นิวคาสเซิลเข้าถึงพื้นที่ในกรอบเขตโทษได้มากกว่า ดีกว่า จึงหาโอกาสในกรอบเขตโทษได้มากกว่า ขณะที่แมนฯ ยูไนเต็ด ทำในสิ่งตรงข้ามคือต้องหันมายิงไกลแทน
อย่างไรก็ดี ในฤดูกาลนี้มีเพียงแค่แอสตัน วิลลา กับลิเวอร์พูล ที่สร้างโอกาสสำคัญ (Big Chances) ในพรีเมียร์ลีกได้มากกว่าพวกเขา ซึ่งแปลว่าแมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้ดีขึ้นในเรื่องของการสร้างสรรค์
แต่ปัญหาเดิมก็คือมันหวังผลไม่ได้ ตามข้อมูลจาก Understat สำนักวิเคราะห์ระบุว่า แมนฯ ยูไนเต็ด อาจเป็นทีมที่มีค่า xG สูงเป็นอันดับ 6 ในลีก แต่พวกเขาเปลี่ยนโอกาสให้เป็นประตู (Chances Conversion) ได้แค่ 7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ตัวเลขนี้แย่กว่าฤดูกาลที่แล้วที่มีค่าการเปลี่ยนโอกาสให้เป็นประตู 9 เปอร์เซ็นต์เสียอีก
เล่ามาทั้งหมดนี้ น่าจะพอมองเห็นปัญหาของ เอริก เทน ฮาก และแมนฯ ยูไนเต็ด ได้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะยามเล่นในพรีเมียร์ลีกที่แก้ไม่ตก
ส่วนคืนนี้เทน ฮาก จะทำร้ายทีมรักของเขาได้หรือไม่ หรือจะโดนเกมรุกย้อนกลับมาร้ายตัวเอง เดี๋ยวรู้กัน
อ้างอิง: