บริษัท สกิลเลน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มคอร์สเรียนออนไลน์สัญชาติไทย ประกาศยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเตรียมนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai)
มีอะไรที่นักลงทุนควรรู้บ้าง? THE STANDARD WEALTH สรุปข้อมูลสำคัญจากเอกสารไฟลิ่งออกมาทั้งหมด 8 ข้อ เพื่อให้ทุกคนรู้จัก SkillLane มากยิ่งขึ้น ดังนี้
1. ธุรกิจให้บริการแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์แบบครบวงจร
SkillLane เป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านการศึกษา (Education Technology: EdTech) สัญชาติไทย ให้ผู้เรียนสามารถเรียนออนไลน์ได้แบบครบวงจรตามความต้องการของผู้เรียน ปราศจากข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีคอร์สเรียนมากกว่า 3,900 คอร์ส ครอบคลุมหลากหลายสาขาวิชา
บริการของแพลตฟอร์มออนไลน์จาก SkillLane ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าหลักๆ 3 กลุ่ม ได้แก่
- กลุ่มคนทั่วไปที่อยากอัปสกิลตนเอง (SkillLane for Public)
- กลุ่มลูกค้าองค์กรที่อยากพัฒนาทักษะของพนักงานภายใน (SkillLane for Business)
- กลุ่มคนที่ต้องการศึกษาปริญญา แต่มีข้อจำกัดด้านเวลาและการเดินทาง (SkillLane for Online Degrees) โดยปัจจุบันบริษัทร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สำหรับหลักสูตรปริญญาโทภายใต้โครงการ TUXSA
นอกจากนี้บริษัทยังทำธุรกิจเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาและพัฒนานวัตกรรมด้านการศึกษา (SkillLane Innovation) ที่พัฒนานวัตกรรมระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ของผู้ใช้งาน ได้แก่ การพัฒนาแพลตฟอร์ม แอปพลิเคชัน ซอฟต์แวร์ และระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง สำหรับการเรียนรู้
2. ข้อมูลแผนการขาย IPO
แม้ราคาเสนอขายหุ้นและมูลค่าการเสนอขายจะยังอยู่ระหว่างการพิจารณา แต่เอกสารไฟลิ่งระบุว่า บริษัทเตรียมจะเสนอขายหุ้นจำนวน 15,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 15% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลังการเสนอขาย
3. ตัวเลขการเติบโตใน 4 ปีที่ผ่านมา
SkillLane สามารถสร้างรายได้ให้เติบโตขึ้นใน 3 ปีที่ผ่านมา ดังนี้ 211.77 ล้านบาท (ปี 2564), 221.04 ล้านบาท (ปี 2565), 236.58 ล้านบาท (ปี 2566) และในครึ่งแรกของปี 2567 บริษัททำรายได้ไปแล้ว 157.34 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ราว 35%
ในขณะที่กำไรสุทธิของบริษัทคิดเป็นจำนวน 16.4 ล้านบาท (ปี 2564), 24.14 ล้านบาท (ปี 2565) 30.7 ล้านบาท (ปี 2566) และครึ่งแรกของปี 2567 บริษัททำกำไรขั้นต้นได้ 18.2 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิครึ่งแรกของปี 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.37 เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2566
4. ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ
แม้ว่าบริษัทจะเจอกับการลดลงของรายได้ในกลุ่มลูกค้าบุคคลทั่วไป (SkillLane for Public) ไปบ้างเล็กน้อย แต่การเติบโตจากบริการการพัฒนาความรู้ทางวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง (Continuing Professional Development) ก็ยังคงเติบโตต่อได้ โดยผู้ใช้บริการบางกลุ่มได้ปรับพฤติกรรมตัวเองให้คุ้นชินกับการอบรมออนไลน์เพื่อเก็บชั่วโมง และเพื่อขอรับ และ/หรือขอต่อใบอนุญาตต่างๆ ซึ่งมีความยืดหยุ่นกว่า
นอกจากนี้ลูกค้ากลุ่มธุรกิจก็สร้างรายได้ให้กับบริษัทเพิ่มขึ้น จากการที่บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรในองค์กรมากขึ้น โดยที่พนักงานสามารถจัดสรรเวลาการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง และอีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของ SkillLane มาจากเทรนด์การยอมรับปริญญาออนไลน์มากขึ้น ผู้เรียนได้ความสะดวก และหลักสูตรให้ความรู้ที่เท่าทันความต้องการด้านแรงงานในปัจจุบัน
5. วัตถุประสงค์การใช้เงิน
แผนการระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปมีทั้งหมด 3 ปัจจัย ได้แก่
- ใช้พัฒนาแพลตฟอร์มของบริษัท และพัฒนาความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence)
- ใช้ขยายบริการของหน่วยธุรกิจให้คำปรึกษาและพัฒนานวัตกรรมด้านการศึกษา (SkillLane Innovation)
- ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
6. นโยบายการจ่ายเงินปันผล
บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามงบการเงินเฉพาะกิจการ และหลังหักเงินสำรองต่างๆ
7. ความเสี่ยงของธุรกิจ
ตามข้อมูลในเอกสารไฟลิ่ง บริษัทมีปัจจัยความเสี่ยงเชิงธุรกิจหลายด้าน เช่น
- การพึ่งพิงระบบเทคโนโลยีในการดำเนินธุรกิจ
- ความปลอดภัยของข้อมูลและภัยคุกคามไซเบอร์
- การวางจำหน่ายคอร์สเรียนออนไลน์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ และ/หรือมีเนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพและไม่เหมาะสมบนแพลตฟอร์มของบริษัท
- การถูกละเมิดลิขสิทธิ์ และ/หรือทรัพย์สินทางปัญญาของคอร์สเรียนออนไลน์
- การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ใช้บริการ
- ความไม่แน่นอนในการขยายธุรกิจและการดำเนินธุรกิจใหม่
- สิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนที่อาจเปลี่ยนแปลงได้
8. ผู้ถือหุ้นรายใหญ่หลัง IPO
กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SkillLane หลังการขาย IPO 5 อันดับแรก ได้แก่
- กลุ่มครอบครัวพิสิฐวุฒินันท์ ถือรวม 23.73 ล้านหุ้น คิดเป็น 23.73%
- กลุ่มครอบครัวอัศวรุจิกุล ถือรวม 22.78 ล้านหุ้น คิดเป็น 22.78%
- กลุ่มครอบครัวโอสถานุเคราะห์ ถือรวม 14.27 ล้านหุ้น คิดเป็น 14.27%
- อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ถือรวม 7.22 ล้านหุ้น คิดเป็น 7.22%
- โรเบิร์ต อี คาลาเบร็ตต้า ถือรวม 4.71 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.71%
โดยประชาชนทั่วไปมีสิทธิ์ที่จะถือครอง 15 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 15% ของหุ้นทั้งหมด
อ้างอิง: