วันนี้ (3 สิงหาคม) สหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดย วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และ ภาณุวัฒน์ ทองสุข ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวขอให้ตรวจสอบกรณี ทักษิณ ชินวัตร ได้รับสิทธิรักษาพยาบาลดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและโรงพยาบาลตำรวจเลือกปฏิบัติ และส่งข้อมูลให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการนั้น
อธิบดีกรมราชทัณฑ์กล่าวว่า เบื้องต้นตนรับทราบประเด็นดังกล่าวบ้างแล้ว แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดลึกๆ ส่วนขั้นตอนของกรมราชทัณฑ์นั้น ถ้าผู้ร้องส่งเรื่องไปยังสำนักงาน ป.ป.ช. แรกเริ่มก็จะเป็นกระบวนการของ ป.ป.ช. ที่จะต้องตรวจสอบก่อน
ขณะที่ในส่วนของกรมราชทัณฑ์พร้อมเข้าให้ข้อมูลสนับสนุนและชี้แจงทุกประเด็นที่ ป.ป.ช. เรียกสอบถาม แต่เราก็จะจัดเตรียมข้อมูลให้ครบถ้วน
ส่วนกรณีที่ผู้ร้องได้ร้องเรียนเรื่องการส่งตัวผู้ต้องขังออกรักษาตัวนอกเรือนจำเป็นเวลานานเกิน 30 วัน, 60 วัน และ 120 วัน โดยมีผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครทำหนังสือขอความเห็นชอบตามลำดับชั้นของผู้บริหาร จนเป็นเหตุให้อดีตนายกรัฐมนตรีนอนรักษาอาการป่วยนอกเรือนจำได้เป็นระยะเวลานานเกินไป รวมถึงมีอาการวิกฤตทุกวัน ถึงขั้นไม่ส่งตัวนอนห้องฉุกเฉิน แต่กลับอยู่ในห้องพิเศษ ชั้น 14 นั้น ตนขอเรียนว่า หลักในการพิจารณาสำหรับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังที่มีอาการป่วยตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 เรื่อง กฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 มีเจตจำนงว่า การเห็นชอบให้ผู้ต้องขังรักษาตัวเกิน 30 วัน, 60 วัน และเกินกว่า 120 วัน จะเป็นการพิจารณาโดยนำเอาข้อมูลทางการแพทย์มาใช้ประกอบ อีกทั้งหากราชทัณฑ์จะพิจารณาเป็นอย่างอื่นได้ ถ้าความเห็นของแพทย์เห็นว่าผู้ต้องขังรายนี้มีความเจ็บป่วยที่จำเป็นจะต้องรักษาและอยู่ในความดูแลของแพทย์โดยใกล้ชิดต่อไป ดังนั้น กรณีที่เราอนุมัติให้อดีตนายกรัฐมนตรีได้นอนรักษาตัวภายนอกเรือนจำตามระยะเวลาดังกล่าว จึงมาจากการใช้ความเห็นแพทย์ในการพิจารณา
อธิบดีกรมราชทัณฑ์กล่าวอีกว่า กรมราชทัณฑ์ไม่มีความกังวลใจใดๆ ที่จะต้องชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงต่อ ป.ป.ช. เรายังยืนยันเหมือนเดิมว่า การที่เราจะนำผู้ต้องขังคนใดไปรักษาตัวภายนอกเรือนจำก็ขึ้นอยู่กับสุขภาพร่างกายของผู้ต้องราชทัณฑ์ในช่วงนั้น
ถ้าเกินกว่าศักยภาพที่เรือนจำจะให้การดูแลรักษาได้ก็มีความจำเป็นต้องส่งรักษายังสถานพยาบาลที่มีความพร้อมและมีศักยภาพสูง เนื่องจากเราคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นสำคัญ เป็นมาตรการขั้นพื้นฐานที่ราชทัณฑ์ต้องให้การดูแลเรื่องความปลอดภัยและความมั่นคงกับผู้ต้องราชทัณฑ์ทุกรายโดยเท่าเทียมกัน