เกิดอะไรขึ้น? เมื่อ McDonald’s เชนร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดรายใหญ่ยอดขายร่วงทั่วโลก ด้านซีอีโอยอมรับ ต้นทุนเมนู Big Mac พุ่งขึ้น 27% แซงหน้าเงินเฟ้อไปแล้ว จึงปรับขึ้นราคา เป็นเหตุให้ลูกค้าเข้าร้านน้อยลง
ที่ผ่านมา McDonald’s ซึ่งมีสาขากว่า 4 หมื่นแห่ง กระจายอยู่ใน 100 ประเทศ เริ่มเจอปัญหายอดขายลดลงมาตั้งแต่ปี 2020 สะท้อนได้จากผลการดำเนินงานรายไตรมาสอยู่ที่ 6.49 พันล้านดอลลาร์ ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ส่วนกำไรสุทธิลดลง 12% โดยตลาดที่น่าเป็นห่วงคือสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่ทำรายได้หลักประมาณ 41% ของรายได้รวมทั้งหมดของบริษัท
ทั้งนี้ ยอดขายที่ลดลงล้วนได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ผู้บริโภคในสหรัฐฯ ต้องระมัดระวังค่าใช้จ่ายอย่างหนัก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ขณะเดียวกัน เมื่อไม่นานมานี้บริษัทได้เตือนว่าแฟรนไชส์ในประเทศตะวันออกกลางอาจได้รับผลกระทบจากสงคราม รวมไปถึงตลาดอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฝรั่งเศส และจีน ที่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ให้ระมัดระวังในการทำธุรกิจ
ด้าน Chris Kempczinski ซีอีโอของ McDonald’s กล่าวกับนักวิเคราะห์ว่า ตั้งแต่บริษัทมีการปรับขึ้นราคาเพื่อรองรับต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ก็เริ่มเห็นผู้บริโภคเข้าร้านลดลงจากเดิม ดังนั้นสิ่งที่โฟกัสคือการเปิดตัวชุดเมนูสุดคุ้ม มีให้เลือกทั้งชีสเบอร์เกอร์ แซนด์วิช จับคู่กับเฟรนช์ฟรายส์ จำหน่ายในราคา 5 ดอลลาร์ต่อชุด หรือราวๆ 180 บาท เข้ามาเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค
แต่ที่พบอีกหนึ่งปัญหาคือปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่นิยมกินอาหารที่บ้านมากขึ้นเพื่อลดค่าใช้จ่าย แน่นอนว่าสร้างความกังวลให้กับบริษัทอย่างมาก
ทั้งนี้ การปรับขึ้นราคาทั้งหมดสอดรับกับดัชนีราคาอาหารในสหรัฐฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 30% จากรายงานระบุว่าสาเหตุสำคัญมาจากต้นทุนของวัตถุดิบ ทั้งเนื้อ ผัก และชีส ที่เพิ่มขึ้น โดยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ต้นทุนเฉลี่ยของเมนู Big Mac เพิ่มขึ้น 27% หรือคิดเป็นมูลค่า 9.29 ดอลลาร์ สะท้อนให้เห็นว่าราคาต้นทุนของเมนูอาหารนั้นแซงหน้าอัตราเงินเฟ้อไปแล้ว
แต่ท้ายที่สุดแล้วลูกค้าส่วนใหญ่ก็ต้องเลือกซื้ออาหารในราคาที่คุ้มค่าเพื่อให้อยู่รอดในช่วงที่ค่าครองชีพมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหน้าที่ของแบรนด์ก็ต้องพยายามหากลยุทธ์ใหม่ๆ เข้ามาดึงลูกค้าเข้าร้าน แต่นั่นไม่ง่ายเลยเพราะในตลาดฟาสต์ฟู้ดมีการแข่งขันสูงมาก
อ้างอิง:
