ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่มีมูลค่าใหญ่ที่สุดอันดับ 2 หรือ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) มาโดยตลอด โดยเป็นรองเพียงอินโดนีเซีย แต่ล่าสุดตลาดหุ้นไทยกำลังจะสูญเสียสถานะดังกล่าวให้กับคู่แข่งอย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย
ข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่า เมื่อปีก่อนมูลค่าตามราคาตลาดของตลาดหุ้นไทยมากกว่าสิงคโปร์ราว 1.25 แสนล้านดอลลาร์ แต่ล่าสุดช่องว่างดังกล่าวลดลงมาเหลือเพียง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ หลังจากที่ดัชนี SET ร่วงลงมา 14% ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นตลาดที่ลดลงมากที่สุดในบรรดาดัชนีหลักทั่วโลก
มูลค่ารวมของบริษัทที่ซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 16.1 ล้านล้านดอลลาร์ ส่วนมูลค่าของตลาดหุ้นสิงคโปร์และมาเลเซียอยู่ที่ราว 1.55 ล้านล้านบาท และ 1.53 ล้านล้านบาท ขณะที่ตลาดหุ้นอินโดนีเซียมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 27 ล้านล้านบาท
ปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยมาจากหลายส่วน เช่น การเทขายของนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่องกว่า 5 แสนล้านบาทตลอด 5 ปีที่ผ่านมา, ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเด็นการพิจารณาทางกฎหมายเพื่อปลดนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ออกจากตำแหน่ง และความล่าช้าของนโยบายรัฐบาล รวมถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมูลค่า 4.5 แสนล้านบาท
Sat Duhra ผู้จัดการกองทุนที่ Janus Henderson Group Plc. กล่าวว่า “เงินบาทที่อ่อนค่าและวินัยการคลังที่สูญเสียไปกับการแจกเงิน ทำให้มีโอกาสที่ดีกว่าในเอเชีย”
ท่ามกลางแรงขายของต่างชาติในหุ้นไทย กลับกันมีเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นมาเลเซียราว 85 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้าตั้งแต่ต้นปี ส่วนสิงคโปร์ นักลงทุนต่างชาติได้ลดการขายลงเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่แล้วตามข้อมูลจาก EPFR
อย่างไรก็ดี Bloomberg ระบุว่า หากคำนวณเฉพาะหลักทรัพย์ที่มีการซื้อ-ขายหลักและเป็นหลักทรัพย์หลักในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศนั้นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อน โดยเฉพาะมูลค่าจาก ETF และ ADR เนื่องจากไม่ได้เป็นตัวแทนบริษัทโดยตรง จะพบว่า มูลค่าตลาดของสิงคโปร์แซงหน้าประเทศไทยแล้วตามข้อมูลล่าสุดที่มีจากตลาดหลักทรัพย์ทั้งสองแห่ง
ส่วนหนึ่งของการเพิ่มขึ้นในมูลค่าตลาดของสิงคโปร์เป็นผลจากหุ้นธนาคาร ซึ่งได้ทำสถิติสูงสุดใหม่เมื่อเร็วๆ นี้จากการคาดการณ์เงินปันผลและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ช่วยให้ดัชนี STI เพิ่มขึ้นประมาณ 6% ในปีนี้
ส่วนตลาดหุ้นมาเลเซียได้อานิสงส์จากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) เนื่องจากตำแหน่งที่ตั้งเป็นศูนย์ข้อมูล AI และศูนย์กลางห่วงโซ่อุปทานชิป ดัชนี KLCI เพิ่มขึ้น 11% ในปีนี้ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาค
อ้างอิง: