รายงานล่าสุดจาก Henley & Partners บริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนและการย้ายถิ่นฐาน เผยว่า จีนประสบปัญหาการไหลออกของเศรษฐีครั้งใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อปีที่แล้ว และคาดว่าจะพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 15,200 คน ในปี 2024 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนอย่างรุนแรง
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเส้นทางเศรษฐกิจของจีนและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐีจีนจำนวนมากเลือกที่จะอพยพออกนอกประเทศ โดยมีสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของจีนบนเวทีโลก เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม
ปีที่แล้วจีนมีเศรษฐีที่มีสินทรัพย์อย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 36.7 ล้านบาท) อพยพออกนอกประเทศถึง 13,800 คน ส่วนใหญ่ย้ายไปยังสหรัฐฯ แคนาดา และสิงคโปร์
Andrew Amoils หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ New World Wealth บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลด้านความมั่งคั่งที่ร่วมทำรายงานฉบับนี้กับ Henley & Partners กล่าวว่า เป็นการยากที่จะประเมินมูลค่าทรัพย์สินที่ไหลออกไปพร้อมกับการย้ายถิ่นฐานของเศรษฐีเหล่านี้ แต่จากประสบการณ์พบว่าผู้ที่มีทรัพย์สินระหว่าง 30-1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,100-36,700 ล้านบาท) มักจะเป็นกลุ่มที่ย้ายถิ่นฐานมากที่สุด
การไหลออกของเศรษฐีจีนจำนวนมากอาจเพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจที่เปราะบางของประเทศ วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่และความมั่งคั่งของประเทศ รวมถึงสร้างภาระหนี้สินให้กับรัฐบาลท้องถิ่น
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่าจีนกำลังเผชิญกับ ‘ความไม่แน่นอนสูง’ เนื่องจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ Fitch Ratings และ Moody’s Investors Service ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของจีน
เศรษฐีจีนชะลอความพยายามในการย้ายถิ่นฐานในช่วงการระบาดของโควิด แต่กลับมาไหลออกอย่างรวดเร็วหลังจากยกเลิกมาตรการควบคุมการเดินทางที่เข้มงวด
รายงานไม่ได้ระบุจำนวนที่แน่นอนของการย้ายถิ่นฐานไปยังสหรัฐฯ หรือเหตุผลของผู้ที่ย้ายไปที่นั่น แต่ที่ปรึกษาด้านการย้ายถิ่นฐานและนักวิเคราะห์สังเกตเห็นว่ามีชาวจีนจำนวนมากขึ้น ทั้งคนรวยและชนชั้นกลางที่ต้องการย้ายไปญี่ปุ่น โดย Amoils กล่าวว่า “วิถีชีวิตในญี่ปุ่นน่าดึงดูดใจมาก มีสวนสาธารณะและสนามกอล์ฟที่สวยงาม อีกทั้งยังติดอันดับประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลกจากดัชนีสันติภาพโลก”
สิงคโปร์เป็นอีกจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมจากเศรษฐีจีนมาโดยตลอด เนื่องจากอยู่ใกล้กับจีน มีความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมและใช้ภาษาจีนกลาง แต่เมื่อไม่นานมานี้สิงคโปร์ได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบความมั่งคั่งที่ไหลเข้ามา โดยได้ปฏิเสธคำขอตั้งสำนักงานครอบครัวของชาวจีน 2 คน ซึ่งเป็นวิธีทั่วไปในการขอสัญชาติ หลังเกิดเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการฟอกเงิน
ขณะที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจที่สุดสำหรับคนร่ำรวยทั่วโลก ด้วยการไม่มีภาษีเงินได้ วิถีชีวิตที่หรูหรา และ ‘วีซ่าทองคำ’ สำหรับนักลงทุน
ส่วนประเทศอื่นๆ ที่เผชิญกับการไหลออกของเศรษฐี ฮ่องกงสูญเสียเศรษฐีไปประมาณ 500 คนในปีที่แล้ว ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับเสรีภาพ เนื่องจากทางการปราบปรามผู้เห็นต่าง Henley & Partners คาดว่าแนวโน้มนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงมากนักในปีนี้
สหราชอาณาจักรคาดว่าจะเป็นประเทศที่มีการสูญเสียเศรษฐีสุทธิมากเป็นอันดับสองรองจากจีนในปีนี้ ที่ 9,500 คน เกาหลีใต้คาดว่าจะสูญเสียเศรษฐีสุทธิ 1,200 คน ในขณะที่ไต้หวันคาดว่าจะสูญเสีย 400 คน
Hannah White ซีอีโอของ Institute for Government ในลอนดอน ซึ่งให้ข้อมูลวิเคราะห์สำหรับรายงานนี้ กล่าวว่า การไหลออกของเศรษฐีส่วนหนึ่งมาจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน และความเป็นไปได้ที่ Donald Trump จะกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่ารัฐบาลของเขาอาจไม่เต็มใจที่จะปกป้องไต้หวันในวิกฤตทางทหารกับจีน หรือสนับสนุนเกาหลีใต้ในกรณีฉุกเฉินกับเกาหลีเหนือ
Dominic Volek หัวหน้ากลุ่มลูกค้าส่วนตัวของ Henley & Partners กล่าวว่า คาดว่าจะมีเศรษฐี 1.28 แสนคน ย้ายถิ่นฐานทั่วโลกในปี 2024 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดสำหรับการย้ายถิ่นฐานของคนมั่งคั่ง
“ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับพายุของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และความวุ่นวายทางสังคม เศรษฐีจำนวนมากกำลังลงคะแนนเสียงด้วยการย้ายถิ่นฐานในจำนวนที่สูงเป็นประวัติการณ์” Volek กล่าว “การอพยพครั้งยิ่งใหญ่นี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในภูมิทัศน์โลกและแผ่นเปลือกโลกแห่งความมั่งคั่งและอำนาจ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่ออนาคตของประเทศที่พวกเขาทิ้งไว้ข้างหลังหรือประเทศที่พวกเขาสร้างบ้านหลังใหม่”
ภาพ: TBohdan Malitskiy / Shutterstock
อ้างอิง: