สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย หรือ TMA เผยผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดย World Competitiveness Center ของ International Institute for Management Development หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์ (IMD-WCC) ประจำปี 2567
โดยในปีนี้ประเทศไทยมีอันดับดีขึ้นถึง 5 อันดับ มาอยู่ในอันดับที่ 25 จากทั้งหมด 67 เขตเศรษฐกิจที่มีการจัดอันดับ โดยในปีนี้ IMD-WCC ได้เพิ่มเขตเศรษฐกิจที่จัดอันดับอีก 3 เขตเศรษฐกิจ คือ กานา ไนจีเรีย และเปอร์โตริโก รวมเป็น 67 เขตเศรษฐกิจ
จากปัจจัยหลักที่ IMD ใช้ในการจัดอันดับรวม 4 ด้าน มี 2 ปัจจัยที่ไทยมีอันดับดีขึ้นในปีนี้คือ สมรรถนะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) ที่ดีขึ้นถึง 11 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 5 และประสิทธิภาพของภาคธุรกิจที่ดีขึ้น 3 อันดับ จากอันดับที่ 23 เป็นอันดับที่ 20 ในปีนี้
ในขณะที่ด้านประสิทธิภาพของภาครัฐและโครงสร้างพื้นฐานมีอันดับคงเดิมในอันดับที่ 24 และ 43 ตามลำดับ
ทั้งนี้ อันดับที่ดีขึ้นในด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจมาจากประเด็นด้านการค้าระหว่างประเทศ (International Trade) ที่ดีขึ้นถึง 23 อันดับ มาอยู่อันดับที่ 6 ในปีนี้ อันเนื่องมาจากประเด็นด้านการท่องเที่ยวที่สัดส่วนของรายได้จากการท่องเที่ยวต่อ GDP (Tourism Receipts) และการส่งออกด้านบริการ (Export of Commercial Services) รวมถึงดุลบัญชีเดินสะพัด มีอันดับที่ดีขึ้นเป็นอย่างมาก
ในขณะที่ด้านระดับราคาและค่าครองชีพ (Prices) ดีขึ้น 10 อันดับจากปีที่แล้ว
นอกจากนี้ ปัจจัยด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency) มีอันดับดีขึ้นเล็กน้อย จากอันดับที่ 23 ในปี 2566 เป็นอันดับที่ 20 ในปี 2567 จากตัวชี้วัดด้านการบริหารจัดการ (Management Practices) ที่ตัวชี้วัดเกี่ยวกับความกลัวความล้มเหลวของผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Fear of Failure) และกิจกรรมของผู้ประกอบการขั้นต้น (Total Early-Stage Entrepreneurial Activity) มีค่าและอันดับที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีถึงผลของความพยายามของทุกภาคส่วนในการผลักดันเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่น่าเป็นห่วงในด้านผลิตภาพในภาพรวมที่มีอันดับลดลงจากอันดับที่ 38 เป็น 42 โดยเป็นผลจากอันดับที่ลดลงของผลิตภาพในเกือบทุกภาคอุตสาหกรรม
นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยที่มีอันดับไม่เปลี่ยนแปลง ได้แก่ ประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government Efficiency) และโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ที่อยู่ในอันดับที่ 24 และ 43 เช่นเดียวกับปี 2566 ในด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ ถึงแม้ว่าอันดับในภาพรวมจะอยู่ในระดับดีพอสมควร แต่ยังคงมีประเด็นที่ยังอยู่ในอันดับต่ำและควรให้ความสนใจ ได้แก่ กรอบการบริหารภาครัฐ (Institutional Framework) กฎหมายด้านธุรกิจ (Business Legislation) และประเด็นด้านสังคม (Societal Framework)
ในขณะที่ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไทยยังอยู่ในอันดับต่ำมาโดยตลอด ถึงแม้อันดับในด้านสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ (Basic Infrastructure) และโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี (Technology Infrastructure) อยู่ในระดับปานกลาง แต่โครงสร้างพื้นฐานที่เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาด้านอื่นๆ ได้แก่ สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม การศึกษา และวิทยาศาสตร์ ยังคงอยู่ในอันดับที่ค่อนข้างต่ำ คือ อันดับที่ 55, 54 และ 40 ตามลำดับ
ในระดับอาเซียน ผลการจัดอันดับของ IMD ในปีนี้มีประเด็นที่พิจารณาเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นปีแรกที่ลำดับความสามารถในการแข่งขันของเขตเศรษฐกิจในอาเซียนที่ได้รับการจัดอันดับรวม 5 เขตเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสนใจ
โดยสิงคโปร์ ซึ่งอยู่ในกลุ่มเขตเศรษฐกิจที่มีอันดับความสามารถสูงสุด 1 ใน 5 ของการจัดอันดับของ IMD และเป็นอันดับ 1 ของอาเซียนมาโดยตลอด มีอันดับดีขึ้นจากอันดับ 4 ในปี 2566 มาอยู่อันดับที่ 1 ของโลกในปีนี้ และนับเป็นครั้งแรกที่ไทยและอินโดนีเซียได้ขยับขึ้นมาเป็นอันดับที่ 2 และ 3 ของอาเซียน โดยมีอันดับความสามารถในการแข่งขันในอันดับที่ 25 และ 27 ตามลำดับ
ในขณะที่มาเลเซียมีอันดับลดลงจากอันดับที่ 27 เป็นอันดับที่ 34 และฟิลิปปินส์ยังคงอยู่ในอันดับที่ 52 เช่นเดียวกับปี 2566 ซึ่งอินโดนีเซียนับเป็นเขตเศรษฐกิจที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีอันดับดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดในระยะที่ผ่านมา และดีขึ้นถึง 7 อันดับในปี 2567 จากปัจจัยด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government Efficiency) ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency) และสมรรถนะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) ที่มีอันดับดีขึ้นถึง 8, 6 และ 5 อันดับจากปี 2566 โดยประเด็นที่เป็นปัจจัยดึงดูด คือ พลวัตของเศรษฐกิจ (Dynamism of the Economy) ความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน (Cost Competitiveness) และความมั่นคงทางการเมือง (Policy Stability & Predictability)
เมื่อมองภาพรวมในระดับโลก เขตเศรษฐกิจที่มีอันดับความสามารถในการแข่งขันสูงที่สุด 5 อันดับแรกในปี 2567 ได้แก่ สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ เดนมาร์ก ไอร์แลนด์ และฮ่องกง โดยเขตเศรษฐกิจที่ได้รับการจัดอยู่ในกลุ่มที่มีอันดับสูงสุดของปี 2567 ส่วนใหญ่ยังคงเป็นเขตเศรษฐกิจขนาดเล็กเช่นเดียวกับปีก่อนหน้า
ซึ่ง IMD-WCC แสดงความคิดเห็นว่า ผลดังกล่าวสะท้อนว่าความสามารถในการแข่งขันไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของเขตเศรษฐกิจ และยังได้ตั้งข้อสังเกตว่าตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) มีการพัฒนาศักยภาพด้านนวัตกรรม ดิจิทัล และความหลากหลายทางเศรษฐกิจ ได้เท่าทันกับเขตเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว ดังตัวอย่างของจีน อินเดีย บราซิล อินโดนีเซีย และตุรกี ที่กลายเป็นผู้เล่นที่สำคัญในด้านการลงทุน นวัตกรรม และภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน และสร้างโอกาสใหม่ๆ (New Opportunities) และตลาดให้กับธุรกิจและผู้บริโภค รวมถึงความเสี่ยงและความไม่แน่นอนใหม่ๆ ที่ทำให้ทั้งรัฐบาลและธุรกิจที่สนใจตลาดเกิดใหม่เหล่านี้ต้องศึกษาและทำความเข้าใจให้มากขึ้น
ธีรนันท์ ศรีหงส์ ประธานศูนย์เพื่อการพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA Center for Competitiveness) กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยนับว่าน่ายินดีที่อันดับในปี 2567 ดีขึ้นกว่าปีก่อนถึง 5 อันดับ โดยกลับมาอยู่ที่อันดับ 25 ที่เทียบเท่ากับอันดับในปี 2562 และเป็นอันดับดีที่สุดที่ไทยเคยขึ้นถึง ซึ่งปัจจัยหลักคือภาพการฟื้นตัวของผลตัวเลขทางเศรษฐกิจที่มาจากการท่องเที่ยว และการขยายตัวของตลาดส่งออกหลังการยุติของโรคระบาดโควิด
ขณะเดียวกัน ประเมินว่าเป็นข้อท้าทายสำหรับไทยว่าจะทำอย่างไรในการสร้างแรงขับเคลื่อนให้ก้าวไปสู่อีกระดับได้ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากประเด็นที่ยังเป็นจุดอ่อนของไทยคือการขาดเม็ดเงินและทรัพยากรที่จำเป็นในการลงทุนเพื่อเสริมสร้างและแก้ปัญหาที่เรื้อรังในด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านที่เกี่ยวข้องกับการขาดผลิตภาพของภาคธุรกิจและภาคการผลิตที่สำคัญ การขาดแคลนคุณภาพและปริมาณของทรัพยากรมนุษย์ การขาดคุณภาพของการศึกษาและสุขภาพ และปัจจัยเรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ไทยยังอยู่ในอันดับต่ำ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยพื้นฐานที่จะสนับสนุนขีดความสามารถในด้านอื่นๆ ของประเทศ
ดังนั้น เพื่อทำให้ประเทศไทยมีอันดับความสามารถในการแข่งขันในภาพรวมที่ดีขึ้น และสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ทุกภาคส่วนต้องมาช่วยกันคิดและขับเคลื่อน
โดยภาครัฐในฐานะผู้กำหนดและดำเนินนโยบาย จะต้องนำประเด็นดังกล่าวมาพิจารณาเป็นวาระเร่งด่วนในการวางแผนและจัดทรัพยากรขับเคลื่อน โดยมีเป้าหมายและแผนการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม ในขณะที่ภาคส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งภาคธุรกิจ ภาคการศึกษา ภาคสังคม ต้องมุ่งเน้นการจัดสรรทรัพยากรไปในเป้าหมายเดียวกัน และที่สำคัญต้องพัฒนาศักยภาพของคนและองค์กรในทุกระดับให้สามารถจับสัญญาณแห่งอนาคต เท่าทันเทคโนโลยี มีความยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีความคล่องตัวในการปรับปรุงพัฒนา และมีความสามารถในการนำเทคโนโลยีโดยเฉพาะดิจิทัลและ AI มาใช้ เพื่อเพิ่มผลิตภาพในทุกภาคส่วน