เรื่องดีๆ ทุกเรื่องมีวันจบ
สุดสัปดาห์นี้ เจอร์เกน คล็อปป์ จะลงทำหน้าที่ในฐานะผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะอำลาทีม ปิดฉากช่วงระยะเวลาเกือบ 9 ปีเต็มในการเป็นนายใหญ่แห่งแอนฟิลด์
ช่วงเวลาที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย…
1.
ชายชาวเยอรมันเดินเข้ามาสู่โต๊ะแถลงข่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
นี่คืออดีตโค้ชทีมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ผู้ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงในโลกของฟุตบอล จากผลงานในการพาทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีกา 2 สมัย รวมถึงเคยทะลุเข้าชิงรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ด้วยสไตล์การเล่นของทีมที่ดุดัน เร้าใจ
‘Heavy Metal Football’ เขาว่ากันแบบนั้น
คล็อปป์เพิ่งอำลาดอร์ทมุนด์ได้เพียงแค่ 4 เดือนก่อนหน้านั้นหลังจบฤดูกาลสุดท้ายของเขาที่เวสต์ฟาเลนด้วยความเจ็บปวด เพราะผลงานของทีมไม่เป็นไปอย่างที่หวัง แต่อย่างน้อยในวันอำลาก็ได้ถอดหมวกเพื่อโค้งขอบคุณเหล่า ‘กำแพงสีเหลือง’ อันลือลั่น ได้บอกรักและบอกลากัน
ไม่มีใครคิดว่าคล็อปป์จะกลับมาทำงานในวงการอีกครั้งเร็วแบบนี้ เพราะเดิมเจ้าตัวประกาศเอาไว้ว่าอยากจะ ‘พัก’ อย่างน้อย 1 ปี เพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจ เพียงแต่บางครั้งชีวิตก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดเอาไว้นัก
ลิเวอร์พูลประสบปัญหาสาหัส พวกเขาไม่สามารถปล่อยให้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส คุมทีมต่อไปได้ และคนที่แผนกข้อมูลของสโมสรที่นำโดย ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ (กรองตัวแปรข้อมูลโดย เอียน เกรแฮม) ระบุตรงกันว่า ตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้คือ เจอร์เกน คล็อปป์
การติดต่อเจรจาจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างลับๆ ขณะที่ฝ่ายบริหารที่นำโดย ไมค์ กอร์ดอน เจรจากับคล็อปป์ไป ในเงามืดพวกเขาก็คอยสอดส่องพฤติกรรมของกุนซือชาวเยอรมันไปด้วย โดยคนที่มาแอบดูคล็อปป์อยู่คือตัวของเอ็ดเวิร์ดส์เอง และพวกเขาก็พอใจกับสิ่งที่ได้เห็น
คล็อปป์เองก็คิดว่าโอกาสกับลิเวอร์พูลเป็นโอกาสที่ดี และเหนือสิ่งอื่นใดคือ อุลลา ภรรยาของเขา เห็นชอบด้วยที่จะรับงานนี้ ไม่เหมือนเมื่อปี 2013 ที่อุลลาคัดค้านข้อเสนอจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เต็มที่
นั่นนำมาสู่การพบกันครั้งแรกระหว่างคล็อปป์และกองทัพสื่อมวลชน
พวกเขามาเพื่อรอรับฟังคำพูดของผู้จัดการทีมคนใหม่ของลิเวอร์พูล คนที่ได้รับการพูดถึงว่านอกจากฝีไม้ลายมือจะเหมาะสมแล้ว ยังมีบุคลิกที่น่าจะเข้ากันได้กับทีมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแห่งเมอร์ซีย์ไซด์ด้วย
ในการแถลงข่าวครั้งนี้ เจอร์เกน คล็อปป์ ยืนยันว่าสิ่งที่หลายคนคิดน่าจะเป็นความจริง ผ่านคำพูดบางอย่างที่ฟังแล้วสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างจากคนทั่วไป
“ผมไม่อยากจะมาอธิบายตัวเอง มีใครในห้องนี้ที่คิดว่าผมทำสิ่งมหัศจรรย์ได้ไหม? ไม่หรอก ผมก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาๆ ผมเป็น The Normal One”
เช่นเดียวกับประโยคอมตะ ซึ่งเป็นข้อความที่คล็อปป์ต้องการฝากถึงผู้เล่นและแฟนๆ ของพวกเขา
“เราต้องเปลี่ยนจากคนที่มีความสงสัยให้เป็นคนที่มีความเชื่อ เราจะต้องเริ่มต้นใหม่เพื่อรอดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นในปีนี้”
2.
ดูเหมือนปัญหาของ ลิเวอร์พูล จะแย่กว่าที่ คล็อปป์ คาดเอาไว้
ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของคุณภาพหรือวิธีการเล่น แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดคือเรื่องของจิตใจและเรื่องของความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวที่หาไม่ได้เลย
ไม่เฉพาะเพียงแค่กับนักฟุตบอล แต่กับแฟนฟุตบอลเองก็ด้วย การที่เดอะค็อปตัดสินใจทิ้งทีมกลางทางในเกมกับคริสตัล พาเลซ ทั้งๆ ที่เกมการแข่งขันยังไม่จบ เป็นเรื่องที่ยากที่จะทำใจยอมรับได้
ไหนบอกว่า You’ll Never Walk Alone?
คล็อปป์คิดว่าเขาต้องจัดการเรื่องนี้ แต่ต้องเริ่มจากภายในคือลูกทีมของเขาเองก่อน ด้วยการนั่งยันนอนยันว่าขอให้เล่นอย่างเต็มที่ที่สุดก่อน ผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไรไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุดในเวลานี้
ในเดือนธันวาคม 2015 – 2 เดือนเศษหลังจากที่คล็อปป์เข้ารับตำแหน่ง – ลิเวอร์พูลลงสนามในเกมกับเวสต์ บรอมวิช อัลเบียน ที่แอนฟิลด์
เกมนั้นทีมเยือน เดอะแบ็กกีส์ สร้างปัญหาให้กับทีมของคล็อปป์อย่างมาก พวกเขาขึ้นนำอยู่จนถึงช่วงท้ายเกมแล้ว แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือลิเวอร์พูลไม่หยุดและไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ
แฟนบอลเองก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไปในทีม เมื่อทีมไม่ยอมแพ้ แฟนบอลก็ไม่ยอมแพ้เช่นเดียวกัน และสุดท้ายลิเวอร์พูลก็สามารถตามตีเสมอได้สำเร็จจากประตูของ ดิวอค โอริกิ ศูนย์หน้าผู้อยู่ในทุกช่วงเวลาสำคัญของคล็อปป์
หลังเสียงนกหวีดสุดท้ายดังขึ้น คล็อปป์เรียกนักเตะทุกคนในทีมมารวมตัวกัน เพื่อไปฉลองและขอบคุณแฟนๆ ที่ให้กำลังใจ
นักเตะในชุดแดงเพลิงเองก็สับสน พวกเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน และไม่เข้าใจด้วยว่าจะทำไปทำไม แต่เมื่อเจ้านายสั่งทุกคนก็ทำตาม มือจับมือประสานกันไว้และร่วมร้องรำทำเพลงไปด้วยกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่คนอังกฤษไม่คุ้นเคย แต่เป็นเรื่องธรรมดาของวัฒนธรรมฟุตบอลเยอรมนี
ภาพที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ตามมาบ้าง เจมส์ แมคคลีน ปีกเวสต์บรอม บอกว่า “คล็อปป์เพี้ยนไปแล้ว” ที่ทำแบบนั้น ลิเวอร์พูลไม่ได้ชนะสักหน่อย พวกเขาแค่รอดตัวไม่แพ้คาบ้านแค่นั้น
แต่สำหรับคล็อปป์ เขาไม่สนใจเสียงจากใครทั้งนั้น
เสียงที่สำคัญที่สุดคือเสียงจากแฟนบอลที่อยู่ตรงหน้า “ผมอยากจะทำให้ทุกคนได้รู้ตั้งแต่วันแรกแล้วว่าทุกคนสำคัญ เรารู้ว่าถ้าไม่มีพวกเขา (แฟนๆ) เราจะไม่มีวันเล่นในระดับที่สูงที่สุดได้ ไม่มีวันเลย ดังนั้นเราควรที่จะชื่นชมกับสิ่งดีๆ นี้ไว้ และสำหรับผมมันเป็นเรื่องง่ายมากๆ”
โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าการฉลองเล็กๆ ที่ถูกมองว่าประหลาดครั้งนั้น คือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งดีๆ
3.
ความหวังของคล็อปป์และลิเวอร์พูลที่จะคว้าแชมป์ให้ได้สักใบในฤดูกาลแรกจบลงด้วยความว่างเปล่า
พวกเขาแพ้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปก่อนหน้านั้นแล้วในนัดชิงลีกคัพ และสุดท้ายก็แพ้ให้กับเซบียาอีกในนัดชิงรายการยูฟ่ายูโรปาลีก ที่สนามเซนต์ยาค็อบ ในเมืองบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ทั้งๆ ที่ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ทำประตูออกนำให้กับทีมไปก่อน แต่สุดท้ายลิเวอร์พูลก็สู้กับความเก่งกาจของทีมแกร่งจากสเปน ที่ถือเป็นจ้าวแห่งฟุตบอลถ้วยรายการนี้ไม่ไหว
ในนามของความเจ็บปวด นักเตะลิเวอร์พูลผิดหวังและแทบไม่อยากทำอะไร
บรรยากาศของทีมเต็มไปด้วยความหม่นเศร้า ไม่มีใครอยากคุยอะไรกันทั้งนั้น ต่างอยากจะแยกย้ายเข้าห้องนอนเพื่อเตรียมจะเดินทางกลับบ้านกันในตอนเช้า
แต่แล้วคล็อปป์ก็สั่งทุกคนให้มารวมตัวกัน
“มานี่!”
คล็อปป์ไม่ได้มีสุนทรพจน์หรือคำพูดอะไรมากมายนักที่จะบอกกับทุกคน แต่เขาเริ่มด้วยการเป็นแกนนำในการร้องเพลง “We are Liverpool, tra-la-la-la-la!” ซึ่งเป็นเพลงฮิตติดปากของแฟนๆ ในฤดูกาล 2013/14 ที่ลิเวอร์พูลเกือบทำความฝันให้เป็นความจริงได้สำเร็จ แม้สุดท้ายจะพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างเจ็บปวดก็ตาม
ก่อนที่เพลงอื่นๆ จะตามมา ทุกคนร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน มันอาจจะไม่ได้สนุกมากอะไรขนาดนั้นหรอก แต่อย่างน้อยความรู้สึกของทุกคนก็ดีขึ้น
“สองชั่วโมงที่แล้วพวกนายยังรู้สึกแย่อยู่เลย ตอนนี้หวังว่าทุกคนจะรู้สึกดีขึ้นนะ นี่มันเป็นแค่การเริ่มต้นของพวกเรา เราจะได้เล่นนัดชิงอีกหลายครั้ง”
คล็อปป์ ผู้ที่ถูกบันทึกคลิปวิดีโอในสภาพหน้าแดงก่ำและเต้นฉลองอย่างบ้าคลั่งยันรุ่งเช้าวันนั้น ไม่ได้พูดผิดไปจากความจริงสักเท่าไร
ลิเวอร์พูลได้เข้าชิงอีกหลายครั้งจริงๆ ในยุคสมัยของเขา
4.
หนทางเดียวที่จะทำให้ลิเวอร์พูลคว้าชัยชนะเอาไว้ได้คือ ต้องชนะบาร์เซโลนา 4 ประตู!
เงื่อนไขดังกล่าวเป็นเงื่อนไขที่บ้าบอคอแตกอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงผลการแข่งขันนัดแรกที่แทบจะช้อยเก็บฉากไปแล้วหลัง ลิโอเนล เมสซี ปั่นฟรีคิกระดับโลกที่ อลิสสัน เบ็คเกอร์ หมดสิทธิ์รับเข้าไป ทำให้บาร์ซาคว้าชัยชนะในเกมแรกของศึกรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2018/19 ไปถึง 3-0
ที่แย่กว่านั้นคือ การที่ลิเวอร์พูลไม่มี โรแบร์โต เฟียร์มิโน ที่บาดเจ็บและ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ซึ่งไม่สามารถลงสนามได้หลังศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนจากเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่พบกับนิวคาสเซิล
กองหน้าของทีมวันนั้นคือ ซาดิโอ มาเน ที่เล่นร่วมกับ ดิวอค โอริกิ กับ เซอร์ดาน ชากิรี
ไม่มีใครคิดว่าลิเวอร์พูลจะกลับมาได้ในสภาพทีมแบบนี้
แต่ก่อนลงสนาม ซาลาห์ปรากฏตัวในชุดเสื้อยืดสีดำที่มีข้อความเขียนเอาไว้ตัวใหญ่ชัดเจน ‘Never Give Up’ ปลุกความรู้สึกบางอย่างออกมา ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะได้จุดประกายความหวังที่สำคัญตั้งแต่ต้นเกมจากประตูของโอริกิ
ก่อนจะมารัวอีก 3 ประตูในช่วงครึ่งเวลาหลังจาก 2 ประตูของ จินี ไวจ์นัลดุม และโอริกิ ที่ปิดท้ายจากลูกเตะมุมในตำนาน ‘Corner Taken Quickly’ ของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
ลิเวอร์พูลสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นได้สำเร็จ
คล็อปป์เรียกทีมไปรวมตัวกันเพื่อขอบคุณแฟนๆ ที่หน้าอัฒจันทร์ค็อปเอนด์ ก่อนที่ทุกคนจะร้องเพลง You’ll Never Walk Alone ไปด้วยกัน
เป็นภาพบรรยากาศที่ยิ่งกว่าความฝัน
คล็อปป์เล่าถึงสิ่งที่บอกกับลูกทีมก่อนเกมว่า เขาไม่ได้พูดอะไรเยอะแยะมากมาย ไม่ได้มีการลงรายละเอียดแท็กติกมากนัก
แค่บอกกับทุกคนว่า “ดูๆ แล้วเราไม่น่าจะมีโอกาสหรอก แต่เป็นเพราะมีพวกเราทุกคนแหละเราถึงมีโอกาส”
เกมนี้ยังเป็นเกมที่คล็อปป์ยกให้เป็น ‘ที่สุด’ ในช่วงของการทำงานกับลิเวอร์พูลโดยที่ไม่มีเกมนัดไหนจะมาโค่นล้มได้
ยูโรเปียนไนต์ที่แอนฟิลด์ ชัยชนะเหนือปาฏิหาริย์ ทุกคนร้อยหัวใจเป็นหนึ่งเดียว
ถูกของคล็อปป์ จะมีอะไรที่ดีกว่านี้อีก
5.
6 นาที 14 วินาที
คือช่วงระยะเวลานับจากเสียงนกหวีดสุดท้ายในเกมนัดชิงชนะเลิศที่ลิเวอร์พูลสยบท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ได้ 2-0
คล็อปป์เริ่มต้นจากการเดินไปขอบคุณ เมาริซิโอ โปเชตติโน ผู้จัดการทีมคู่แข่งท่ีเป็นผู้ผิดหวังในวันนั้น ก่อนที่จะค่อยๆ เดินสัมผัสมือและโอบกอดกับสตาฟฟ์ที่ทำงานหนักร่วมกันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
จาก โมนา เนมเมอร์ นักโภชนาการ, อันเดรียส คอร์นเมเยอร์ หัวหน้าแผนกฟิตเนส เดินไปปลอบใจ แยน แฟร์ธองเกน คู่แข่ง
ก่อนที่จะค่อยๆ วิ่งไปหาลูกทีมทีละคน เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, แอนดี โรเบิร์ตสัน, อดัม ลัลลานา, จินี ไวจ์นัลดุม
จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมที่สวมกอดแล้วร้องไห้ไปด้วยกัน
ทุกคนในทีมได้รับการสวมกอดจากคล็อปป์ บางคนก็เดินมาหาเพื่อให้กอดเองก็มี แม้กระทั่ง ซนฮึงมิน สตาร์จากสเปอร์ส
นี่คือแชมป์รายการแรกของเขากับลิเวอร์พูล และเป็นแชมป์รายการที่ใหญ่ที่สุดด้วย
แชมป์รายการนี้ยังเป็นรางวัลปลอบใจที่ดีที่สุดด้วยเช่นกัน เพราะก่อนหน้านั้นพวกเขาต้องผิดหวังมาแล้วกับนัดชิงชนะเลิศเมื่อ 1 ปีก่อนหน้านี้ที่พ่ายต่อเรอัล มาดริด (แน่นอนคล็อปป์ก็เมาเต้นรำแม้จะแพ้) และไม่กี่วันก่อนหน้านั้นที่จบฤดูกาลด้วยการเป็นรองแชมป์พรีเมียร์ลีกทั้งๆ ที่เก็บแต้มได้ถึง 97 คะแนน
นี่คือคำตอบจากคล็อปป์ที่บอกกับทุกคนมาตั้งแต่วันแรกว่า สิ่งที่เขาพยายามทำและสร้างจะนำไปสู่อะไร
นี่ไม่ใช่แชมป์แรกและแชมป์สุดท้าย แต่เป็นแชมป์แรกของแชมป์ทั้งหมดที่จะคว้ามาด้วยกัน
6.
ทุกคนรู้ดีว่าเป้าหมายต่อจากการคว้าแชมป์ยุโรปของลิเวอร์พูลได้มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แชมป์พรีเมียร์ลีก การรอคอย 30 ปีที่ต้องถึงเวลาสิ้นสุดลงแล้ว
ถึงแม้ว่าลิเวอร์พูลจะไม่ได้มีการปรับทัพเสริมทีมอะไรเลย แทบจะใช้ผู้เล่นชุดเดิมทั้งหมดท่ามกลางความกังขาและกังวลของแฟนๆ ว่าแบบนี้จะไปสู้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไหวเหรอ แต่ปรากฏว่าทีมของคล็อปป์กลับเล่นได้อย่างร้อนแรงเป็นไฟพะเนียง
Mentality Monster ตนนี้กวาดชัยชนะได้เป็นว่าเล่น ทำแต้มทิ้งห่างไปแบบสุดกู่โดยที่ไม่ต้องลุ้นอีกว่าใครจะตามมาทันไหม ทุกคนสู้เพื่อกันและกัน ด้วยความรู้สึกที่ชัดเจน ‘ไม่อยากที่จะต้องเสียใจอีกแล้ว’
จนกระทั่งอลิสสันเปิดบอลยาวให้ โม ซาลาห์ หลุดเข้าไปยิงผ่าน ดาบิด เด เคอา ในเกมแดงเดือดที่แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูลคว้าชัยชนะได้สำเร็จ 2-0 พร้อมเสียงร้องเพลงอย่างฮึกเหิมจากเดอะค็อปที่เก็บงำความรู้สึกมานานจนมั่นใจในวันนี้
We’re gonna win the league!
พวกเราจะคว้าแชมป์ลีก
แต่ก็เหมือนฟ้าผ่ากลางแอนฟิลด์ เมื่อเกิดโรคระบาดโควิด-19 ขึ้น ทำให้ทุกอย่างต้องหยุดชะงักเป็นระยะเวลาหลายเดือน
หลายเดือนที่เต็มไปด้วยความสับสน ไม่มีใครรู้ว่าชีวิตปกติของเราจะกลับมาเมื่อไร บ้างก็บอกว่าให้ฤดูกาลนี้เป็น ‘โมฆะ’ ไปเสีย (Null and Void) ที่ฟังดูแล้วชวนให้หัวใจสลาย
ทำมาขนาดนี้ สู้มาขนาดนี้ ยังจะพรากไปอีกเหรอ
คนที่เป็นศูนย์กลางของทีมอย่างคล็อปป์คือเสาหลักที่ค้ำความรู้สึกของทุกคนไว้ และเพราะมีเขาอยู่ ทุกอย่างเลยไม่ได้เลวร้ายจนอยู่ในจุดที่รับไม่ไหว บรรยากาศของทีมแม้จะเงียบเหงาเพราะไม่มีใครเจอกันได้ แต่อย่างน้อยการได้ซ้อมร่วมกันผ่านระบบ Zoom ก็เป็นช่วงเวลาดีๆ ในอีกรูปแบบหนึ่ง
ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมา พรีเมียร์ลีกแข่งขันกันต่อได้อีกครั้ง แม้ว่ามันจะไม่เหมือนเดิมเลยก็ตาม เพราะไม่มีแฟนฟุตบอลเข้ามาเชียร์สนามได้
แต่คล็อปป์ก็ยืนหยัดที่จะทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ให้กำลังใจทุกคน
“ไม่ต้องกลัว เราจะฉลองเผื่อพวกคุณเอง”
พิธีมอบแชมป์พรีเมียร์ลีกมีขึ้นในสนามแอนฟิลด์ มีการตั้งเวทีขนาดใหญ่ จัดเต็มด้วยแสง สี และเสียง รวมถึงพลุดอกไม้ไฟจำนวนมาก
แน่นอนว่ามันทดแทนแฟนฟุตบอลที่ขาดหายไปเลยไม่ได้
แต่อย่างน้อยคล็อปป์ก็ทำอย่างดีที่สุดในการจะฉลองเผื่อทุกคน
พร้อมคำสัญญา “เอาไว้ทุกอย่างดีขึ้นแล้วเรามาฉลองพร้อมๆ กันอีกทีนะ”
7.
อิคารัสแหงนหน้าขึ้นฟ้า แล้วมองเห็นดวงอาทิตย์ที่สว่างเจิดจ้า
“เราจะเข้าไปใกล้ได้แค่ไหนกัน”
ความรู้สึกของลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2021/22 ไม่ต่างอะไรจากอิคารัส ผู้หาญกล้าท้าทายเหล่าเทพเจ้า ด้วยการพยายามทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครในอังกฤษทำได้มาก่อน ด้วยการลุ้นคว้า 4 แชมป์ในฤดูกาลเดียว (Quadruple)
พวกเขาคว้าแชมป์ลีกคัพมาครองได้เป็นที่เรียบร้อยด้วยการล้มเชลซีในการดวลจุดโทษที่ยาวนาน ที่สุดท้ายต้องให้ผู้รักษาประตูอย่าง ควีวิน เคลเลเฮอร์ เป็นคนรับหน้าที่สังหาร (ก่อนเซฟลูกยิงของ เกปา อาร์ริซาบาลากา พาทีมเป็นแชมป์)
จากนั้นก็ควบตะบึงอย่างไม่หยุดยั้งทั้งพรีเมียร์ลีก แชมเปียนส์ลีก รวมถึงเอฟเอคัพ
เวลานั้นแฟนลิเวอร์พูลเหมือนอยู่ในดินแดนของความฝัน ทีมเล่นได้อย่างเร่าร้อน และต่อให้วันไหนที่เล่นได้ไม่ดีนัก อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
จะยากจะเย็นแค่ไหนก็เดินหน้าต่อไป
ผลงานในช่วงเวลาดังกล่าวทำให้คล็อปป์เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นในใจ และความรู้สึกนั้นได้รับการตอกย้ำจากคำถามของอุลลา ภรรยาคู่ชีวิตที่มักจะหาเวลาว่างเดินทางไปเชียร์เจอร์เกนในฐานะ Away Fan ร่วมกับแฟนบอลคนอื่นๆ เสมอ
“คุณคะ ฉันคิดว่าเราจะไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้”
อุลลาหมายถึงแผนเดิมที่คล็อปป์ตั้งใจเอาไว้ว่าจะอยู่กับลิเวอร์พูลจนถึงเพียงแค่ปี 2024 แต่ด้วยบรรยากาศและทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว บางทีการไปจากลิเวอร์พูลตามแผนเดิมที่เคยคิดเอาไว้อาจจะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมก็ได้
คล็อปป์ เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เขาตัดสินใจแจ้งกับสโมสรทันทีในการขอขยายระยะเวลาในสัญญาออกไปจากเดิมอีก 2 ปี
ข้อแม้คือ เขาไม่ขอเพิ่มค่าตอบแทนให้ตัวเอง แต่ขอเพิ่มค่าตอบแทนให้กับทีมสตาฟฟ์ทุกคนที่ทำงานหนักร่วมกันแทน
ในวันประกาศข่าวเซ็นสัญญาในช่วงเดือนเมษายนก่อนที่ฤดูกาลจะสิ้นสุดลง คล็อปป์ถ่ายภาพร่วมกับทีมงานของเขา เพื่อเป็นการตอกย้ำว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นได้ทุกวันนี้ไม่ได้เป็นผลงานของเขาหรือของใครคนใดคนหนึ่ง
มันคือความสำเร็จของทุกคน
อย่างไรก็ดี หากความพยายามของอิคารัสทำให้เทพอพอลโลโมโหโกรธาในความโอหังของมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่สร้างปีกขึ้นแล้วโบยบินมาเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ และสุดท้ายปล่อยแสงและความร้อนออกมาจนทำให้ปีกของอิคารัสถูกเผาจนมอดไหม้
ลิเวอร์พูลก็ไม่ได้แตกต่างกัน
พวกเขาอาจจะได้แชมป์เอฟเอคัพอีกรายการด้วยการล้มเชลซีเหมือนเดิม แต่การที่ต้องพลาดหวังแชมป์พรีเมียร์ลีกให้กับแมนฯ ซิตี้ อีกครั้งในเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาล ทั้งๆ ที่เข้าใกล้เต็มทีแล้ว เพราะแอสตัน วิลลา อุตส่าห์ขึ้นนำไปให้ก่อนถึง 2-0 แต่ซิตี้กลับมาชนะได้ 3-2
รวมถึงการแพ้ให้กับเรอัล มาดริด ในนัดชิงแชมเปียนส์ลีก ที่มองเห็นได้ชัดเจนว่าลิเวอร์พูลอ่อนกำลังลงจากการพยายามฝืนจนเกินไป
ความผิดหวังครั้งนี้ทำให้ขบวนแห่ฉลองแชมป์หลังจบฤดูกาลกลายเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่น่าเจ็บปวดที่สุด
ในรอยยิ้มของคล็อปป์ เรามองเห็นหยาดน้ำตาในหัวใจของเขา
8.
เหมือนโลกถล่มซ้ำสอง
ลิเวอร์พูลอยู่ในสภาพที่พังพาบมาแล้วในฤดูกาล 2020/21 ที่พวกเขาเจอปัญหาอาการบาดเจ็บจนทำให้ทีมเข้าขั้นสาหัส เพราะปราการหลังตัวจริงของทีมบาดเจ็บจนปิดฉากฤดูกาลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, โจ โกเมซ ไปจนถึง โจเอล มาทิป โดยที่ เดยัน ลอฟเรน ถูกปล่อยตัวออกไปก่อนแล้ว
ในบางนัดคล็อปป์ถึงกับใช้ ฟาบินโญ ยืนคู่กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เลยทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่คำตอบที่ดีสักเท่าไร
จนสุดท้ายกองหลังตัวสำรองอดทนที่ถูกมองข้ามอย่าง แนต ฟิลลิปส์ และ รีส วิลเลียมส์ ผนึกกำลังกันมีส่วนช่วยทำให้ลิเวอร์พูลกลับมาคว้าสิทธิ์ไปแชมเปียนส์ลีกได้อีกครั้ง (แน่นอนว่าลูกโหม่งปาฏิหาริย์ของอลิสสันก็มีส่วนสำคัญมาก)
แต่สำหรับฤดูกาล 2022/23 แล้ว สภาพและปัญหาของลิเวอร์พูลแตกต่างกันออกไป
นักเตะลิเวอร์พูลที่กรำศึกหนักมาตลอดฤดูกาล ถูกสั่งให้กลับมารวมตัวฝึกซ้อมกันไม่ถึงเดือนหลังความเจ็บปวด สภาพร่างกายของทุกคนย่ำแย่ สภาพจิตใจของทุกคนอยู่ในขั้นพังทลาย
เค้าลางของหายนะมองเห็นได้ตั้งแต่ในช่วงพรีซีซัน เริ่มจากการแพ้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4-0 ในเกม THE MATCH ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ก่อนที่ทีมจะออกอาการทรุดตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาล ชนิดที่ทุกคนสับสนกันไปหมดว่าเกิดอะไรขึ้น
หลักใหญ่ใจความเกิดจากความบอบช้ำที่หาญกล้าบินไปหาดวงอาทิตย์ โดยเฉพาะนักเตะกำลังหลักของทีมอย่าง ฟาบินโญ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่แข้งขาไม่เหลือกำลังวังชาจะต่อสู้ใดๆ อีกต่อไป ขณะที่การจากลาของ ซาดิโอ มาเน ก็ทำให้แนวรุกของทีมมีปัญหาอย่างร้ายแรง
ในโมงยามของความมืดมน คล็อปป์ต้องรับความกดดันมหาศาล เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากภายนอกไม่เท่ากับเสียงก่นด่าจากแฟนบอลของเขาเอง
สิ่งเหล่านี้ทำให้คล็อปป์เกิดคำถามขึ้นมาเป็นครั้งแรก ไม่ใช่ในเรื่องของความสามารถ
แต่เป็นพลังของเขาว่าจะเหลืออยู่อีกมากน้อยเพียงไหน
9.
26 มกราคม 2024
ในขณะที่สถานการณ์ทุกอย่างของลิเวอร์พูลกำลังเริ่มกลับมาดีอีกครั้ง ทุกคนกำลังพูดถึง ‘Liverpool Reloaded’ หรือ ‘Liverpool 2.0’ ที่ดูทุกอย่างน่าตื่นเต้นไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นแผงกองกลางใหม่ นักเตะดาวรุ่งที่ก้าวขึ้นมาจากอะคาเดมี และสไตล์การเล่นที่เร้าใจ
จู่ๆ คล็อปป์ก็ประกาศการตัดสินใจ
“ผมจะไปจากลิเวอร์พูลหลังจบฤดูกาลนี้”
การประกาศการตัดสินใจดังกล่าวเป็นเรื่องที่ช็อกทุกคน เพราะแม้แต่ลูกทีมเองก็ไม่มีใครที่ระแคะระคายมาก่อน โม ซาลาห์ ยังเข้าใจว่าคล็อปป์จะประกาศการต่อสัญญาใหม่ออกไป
“ผมพอเข้าใจได้ว่ามันคงจะช็อกทุกคนในตอนนี้ ทุกคนได้ยินพร้อมกันเป็นครั้งแรก แต่แน่นอนว่าผมสามารถที่จะอธิบายได้ หรืออย่างน้อยที่สุดให้ผมได้พยายามที่จะอธิบายมัน”
คล็อปป์เปิดเผยความรู้สึกของเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า สิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจกะทันหันเช่นนี้ความจริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องกะทันหัน แต่เป็นสิ่งที่คิดมาตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดช่วงหนึ่ง เพียงแต่ความตั้งใจจริงๆ คือเขาจะไม่ทิ้งทีมไปในสภาพที่เลวร้าย จะพยายามสร้างทีมที่ดีกลับมาอีกครั้งให้ได้
ความตั้งใจของคล็อปป์อาจจะประสบความสำเร็จเกินคาด ลิเวอร์พูล 2.0 ระบือลือลั่นอยู่พอสมควร จนทำให้เริ่มเกิดการคาดหวังที่เริ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
เพียงแต่ในความรู้สึกของผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน วันนี้เขาไม่เหลือแรงมากพอที่จะประคองทีมก้าวเดินต่อไปแล้ว
สิ่งที่ดีที่สุดที่ทำได้คือ การอดทนพาทีมไปจนจบฤดูกาล ไม่ว่าปลายทางนั้นจะอยู่ตรงไหนก็ตาม และส่งต่อ ‘มรดก’ ของทีมฟุตบอลที่ดี – อย่างน้อยก็ดีกว่าในวันที่เขาเข้ามา – ให้แก่คนที่จะมาทำหน้าที่ต่อไปไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคล็อปป์เองก็ผิดหวังและเจ็บปวด โดยเฉพาะกับการกระเด็นตกรอบทั้งเอฟเอคัพและยูฟ่ายูโรปาลีก ซึ่งถูกมองว่าจะเป็น ‘ฉากสุดท้าย’ ที่เขาหวังใจจะให้เกิดขึ้นกับโอกาสในการพาทีมคว้าแชมป์ เป็นการทิ้งทวนที่มากกว่าลีกคัพที่ทำได้สำเร็จไปแล้วในเดือนกุมภาพันธ์
มันมีช่วงเวลาที่ทีมเหมือนจะหลงทางและแฟนบอลเองก็เริ่มไม่เข้าใจ เพราะความคาดหวังบังทั้งตาและหัวใจ
บรรยากาศยูโรเปียนไนต์ที่ตายสนิท เพราะแฟนบอลประท้วงการขึ้นค่าตั๋วของสโมสร เกมแพ้คริสตัล พาเลซ คาบ้าน ก่อนที่จะแพ้ต่อเอฟเวอร์ตันจนหมดหวังที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกสมัย พร้อมเสียงเพลงล้อเลียนที่เจ็บปวด You lose the league at Goodison
แต่เมื่อถึงที่สุดแล้ว ในวันที่ทุกอย่างหลุดลอยไปหมด ก็ถึงเวลาที่ทุกคนจะได้กลับมาคิดถึงกัน
ระหว่างเธอกับฉัน ตลอดระยะเวลาเกือบ 9 ปีที่ผ่านมาความทรงจำมากมาย
ชัยชนะทุกครั้ง ความพ่ายแพ้ทุกหน รอยยิ้ม หยาดเหงื่อ คราบน้ำตา บทเรียนล้ำค่าต่างๆ ที่ได้เรียนรู้
เสียงเฮกระหึ่มเป็นจังหวะในทุกครั้งที่คล็อปป์ Fist Pumps อันเป็นเอกลักษณ์ที่แฟนๆ ทุกคนเฝ้ารอคอยจะทำร่วมกันในวันที่ลิเวอร์พูลได้รับชัยชนะ
บทเพลง I’m so glad Jürgen is the Reds ที่ดังกระหึ่ม
ไม่ว่าตลอดวันเวลาที่ผ่านมาจะรู้สึกอย่างไรก็ตามกับผู้ชายคนนี้ แต่ในวันสุดท้ายที่กำลังจะมาถึงในเกมกับวูลฟ์แฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ในคืนวันอาทิตย์นี้
เดอะค็อปไม่เพียงที่แอนฟิลด์ แต่ทั่วทั้งโลก ตั้งใจที่จะกล่าวคำขอบคุณ ‘บอส’ ของพวกเขา ผู้ชายธรรมดาที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เพียงแค่ทีมฟุตบอล แต่เป็นทั้งสโมสรและเมืองทั้งเมือง ให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“มันไม่สำคัญหรอกว่าเวลามาคนจะคิดถึงเราแบบไหน สิ่งที่สำคัญมากกว่าคือ พวกเขาคิดถึงคุณแบบไหนในวันที่จากไป”
คล็อปป์ กล่าวไว้ในวันแรก
และวันนี้ผมคิดว่าเขารู้คำตอบแล้ว