Michael Shu ประธาน BYD ประจำยุโรป เผยแผนการทุ่มทุนครั้งใหญ่ในยุโรป ตั้งเป้าก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) อันดับ 1 ของทวีปภายในทศวรรษนี้ โดยเตรียมสร้างโรงงาน ตัวแทนจำหน่าย และทุ่มงบการตลาดมหาศาล เพื่อดึงดูดลูกค้าให้หันมาซื้อรถยนต์ไฟฟ้าและรถไฮบริดของBYD
“เรามั่นใจว่าจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดได้ก่อนสิ้นทศวรรษนี้” Shu กล่าวต่อที่ประชุม Future of the Car Summit จัดโดย Financial Times “เรากำลังก้าวสู่ขั้นตอนต่อไปเพื่อตัดสินใจลงทุนมหาศาลในสหภาพยุโรปมูลค่าหลายพันล้านยูโร”
แผนการของ BYDประกอบด้วยโมเดลราคาประหยัดที่พัฒนาต่อจาก Seagull ซึ่งจำหน่ายในจีนราคาต่ำกว่า 10,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 350,000 บาท) เวอร์ชันสำหรับยุโรปคาดว่าจะมีราคาต่ำกว่า 20,000 ยูโร (ประมาณ 700,000 บาท)
Shu กล่าวว่า BYDวางแผนที่จะ ‘ผลิตในยุโรปเพื่อยุโรป’ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านภาษีที่สูงขึ้นและสร้างความมั่นคงต่อห่วงโซ่อุปทาน “การส่งออกรถจากจีนมายังยุโรปไม่ใช่แนวทางระยะยาว ระยะยาวคือการผลิตในท้องถิ่น” เขากล่าว
ปัจจุบัน BYDกำลังสร้างโรงงานแห่งใหม่ในฮังการี ซึ่งจะเริ่มผลิตรถรุ่นแรกในปีหน้า และบริษัทวางแผนเริ่มศึกษาพื้นที่สำหรับโรงงานแห่งที่สองในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
นอกจากรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว BYDยังมีแผนจะจำหน่ายและผลิตรถไฮบริดแบบปลั๊กอินในยุโรปด้วย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภูมิภาคนี้ติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จไฟฟ้าได้ช้า
แม้ BYDจะตั้งเป้าสูง แต่ก็ต้องเผชิญกับคู่แข่งที่แข็งแกร่งในยุโรป ข้อมูลจาก Schmidt Automotive Research ชี้ว่า ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของ BYDในยุโรปตะวันตกอยู่ที่เพียง 1.7% ในไตรมาสแรกของปี 2024
BYD เคยแซงหน้า Tesla ขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลกในไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 ด้วยยอดขาย 526,409 คัน เทียบกับ 484,507 คันของ Tesla ที่จำหน่ายระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม
อย่างไรก็ตาม Tesla กลับมาแย่งชิงตำแหน่งในไตรมาสแรกของปี 2024 ด้วยยอดขาย 386,810 คัน แม้จะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 450,000 คัน แต่ก็มากกว่า BYDคู่แข่งจากจีน
การแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของยุโรปทวีความร้อนแรงขึ้น BYD จะบรรลุเป้าหมายและโค่นบัลลังก์คู่แข่งได้หรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป
อ้างอิง: