โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสาร TIME ถึงประเด็นสำคัญต่างๆ ซึ่งสะท้อนถึงจุดยืนและแนวนโยบายสำคัญที่เขาอาจเลือกเดินหน้า หากเขาได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้งในการเลือกตั้งปลายปีนี้
เราไปเริ่มกันที่นโยบายต่างประเทศที่อาจส่งผลกระทบไปทั่วโลกกันก่อน
ขึ้นภาษีนำเข้ามากกว่า 10% และตั้งกำแพงภาษีสินค้าจีนสูงกว่า 60%
ทรัมป์เผยว่า สหรัฐฯ ภายใต้การนำของเขาอาจปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าทั้งหมดมากกว่า 10% ส่วนจีนที่เป็นคู่พิพาทในสงครามการค้าในสมัยที่เขาเป็นประธานาธิบดีสมัยแรกนั้นอาจขึ้นภาษีสูงกว่า 60% ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าสงครามการค้าอาจกลับมาระอุอีกระลอก
แต่นักเศรษฐศาสตร์บางคนเตือนว่า หากทรัมป์ตั้งกำแพงภาษีนำเข้า 10% จริง อาจทำให้ภาระไปตกอยู่กับผู้บริโภคชาวอเมริกัน คิดเป็นมูลค่าสูงกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี
ขณะที่ผลการศึกษาของ Tax Foundation ที่เผยแพร่ก่อนหน้านี้ระบุว่า การขึ้นภาษี 10% อาจส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัว 1.1% และอาจทำให้ชาวอเมริกันมากกว่า 825,000 คนต้องตกงาน
นอกจากประเด็นเรื่องขึ้นภาษีแล้ว ทรัมป์ยังตีตราหลายประเทศ เช่น อินเดีย ฝรั่งเศส และบราซิล ที่ทำการค้าด้วยยาก
เขายังวิจารณ์สหภาพยุโรป (EU) ว่าเป็นคู่ค้าที่เจรจาด้วยยากที่สุด เพราะ EU ใช้กฎระเบียบที่ค่อนข้างเข้มงวดกับสหรัฐฯ
ไม่เชื่อว่าแนวทาง Two-State Solution จะแก้ปัญหาอิสราเอล-ปาเลสไตน์
ทรัมป์เน้นย้ำจุดยืนว่า เขาต้องการให้สงครามอิสราเอล-ฮามาสในฉนวนกาซายุติลงและกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว เขาอ้างด้วยว่า ในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ช่วงเวลา 4 ปีนั้น ไม่มีเหตุก่อการร้ายใหญ่เกิดขึ้นเลย และสหรัฐฯ สามารถกำจัดกลุ่ม ISIS ได้อย่างเด็ดขาด ตรงข้ามกับปัจจุบันที่กลุ่มติดอาวุธเหล่านี้เริ่มกลับมาเคลื่อนไหว
ทรัมป์ยังอ้างว่า ที่ผ่านมาไม่มีประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนไหนทำเพื่ออิสราเอลได้มากเท่ากับตัวเขา ไม่ว่าจะเป็นยกเลิกข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน รับรองเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงอิสราเอลและย้ายสถานทูตไปยังเมืองหลวงแห่งใหม่ จนได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากจากประชาชนชาวอิสราเอล
ทรัมป์ระบุว่า เหตุการณ์ฮามาสโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะอิสราเอลมียุทโธปกรณ์การสู้รบที่ทันสมัยกว่า และเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากเหตุการณ์นี้
ส่วนในประเด็นที่นิตยสาร TIME ถามทรัมป์ว่า ‘แนวทางสองรัฐ’ (Two-State Solution) ยังควรเป็นทางออกของสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์หรือไม่นั้น เขาบอกว่า ตัวเขาไม่แน่ใจว่าแนวทางนี้จะใช้ได้อีกต่อไป ในเมื่ออิสราเอลมีความได้เปรียบจนมีอำนาจต่อรองสูงกว่าที่จะใช้แนวทางแก้ปัญหานี้ ดังนั้นเขาจึงมองว่าเป็นเรื่องค่อนข้างยากมากที่จะบรรลุเงื่อนไขต่างๆ และเดินไปถึงจุดนั้น และเขาก็เชื่อว่าปัจจุบันมีคนที่เชื่อมั่นในแนวทางนี้น้อยลง
ทรัมป์ยังยืนยันว่า ตัวเขาจะยังคงสนับสนุนอิสราเอลต่อไป และจะปกป้องอิสราเอล หากอิหร่านและอิสราเอลทำสงครามระหว่างกันในอนาคต
นโยบายต่อรัสเซียและสงครามยูเครน
ทรัมป์ระบุว่า โจ ไบเดน จัดการปัญหากับวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้ค่อนข้างแย่ และปูตินไม่ควรเข้าไปทำสงครามในยูเครน โดยตลอดระยะเวลาที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เขาอ้างว่าตนเข้ากับปูตินได้เป็นอย่างดี
ส่วนกรณีของ อีวาน เกิร์ชโควิช นักข่าวสัญชาติอเมริกันของ The Wall Street Journal ที่ถูกรัสเซียควบคุมตัวไว้นานกว่า 1 ปี ฐานต้องสงสัยว่าเป็นสายลับที่เข้ามาสอดแนมข้อมูลให้กับทางการสหรัฐฯ นั้น ทรัมป์ระบุว่า เขาจะเรียกร้องให้ปูตินปล่อยตัวเกิร์ชโควิช ถ้าหากเกิร์ชโควิชยังไม่ได้เป็นอิสระในวันที่เขาหวนคืนทำเนียบขาว
โดยทรัมป์ยังเน้นย้ำว่า ถ้าเขาชนะการเลือกตั้งและได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สงครามรัสเซีย-ยูเครนอาจไม่เกิดขึ้น เพราะเขารู้จักปูตินเป็นอย่างดี
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ทรัมป์อาจยุติการให้ความช่วยเหลือยูเครน หากเขากลับคืนสู่ทำเนียบขาวนั้น เขากล่าวว่า ตัวเขาไม่ได้บอกว่าจะไม่ให้ เพียงแต่ต้องการให้ยุโรปเพิ่มกำลังสนับสนุนแก่ยูเครนให้มากยิ่งขึ้น เพราะนั่นอาจไม่ยุติธรรมมากนัก หากสหรัฐฯ จะมาแบกรับภาระค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ตรงจุดนี้
“ถ้ายุโรปไม่จ่าย ทำไมเราต้องจ่าย”
ทรัมป์ระบุว่า เขาจะพยายามช่วยเหลือยูเครนต่อไป แต่พันธมิตรในยุโรปก็ต้องทำหน้าที่ของพวกเขาด้วย
ปล่อย NATO ตามยถากรรม ถ้าไม่ยอมจ่ายสมทบ และถูกรัสเซียรุกราน
ทรัมป์ยอมรับว่าตนเคยขู่ที่จะถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิก NATO หลังจากมองว่าสหรัฐฯ ไม่ได้รับความเป็นธรรมและถูกเอาเปรียบจากประเทศสมาชิกอื่นๆ โดยเฉพาะสมาชิกในยุโรป ซึ่งในช่วง 3-4 ปีก่อนเขาอ้างว่า NATO แทบจะไม่ช่วยจ่ายเงินสมทบด้านการป้องกันเลย เขาจึงมองว่าท่าทีของตนมีผลอย่างมากที่ช่วยให้หลายประเทศยอมลงขันสนับสนุนงบด้านการป้องกันของ NATO
นอกจากนี้ทรัมป์ยังตั้งคำถามว่า ในทางกลับกัน หากสหรัฐฯ ถูกโจมตี สมาชิก NATO ทั้งหมดจะมาช่วยสหรัฐฯ สู้รบหรือไม่ ซึ่งความคิดนี้อาจส่งผลต่อแนวนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ต่อ NATO ในอนาคตก็เป็นได้ และอาจทำให้ความเป็นเอกภาพของ NATO สั่นคลอน
นโยบายกองทหารในต่างแดน
หลังจากที่รัฐบาลไบเดนถอนทหารอเมริกันออกจากอัฟกานิสถาน จนเปิดทางให้กลุ่มตาลีบันกลับขึ้นมาครองอำนาจ และก่อให้เกิดความกังวลด้านสิทธิมนุษยชนอย่างมากในเวลาต่อมา นิตยสาร TIME ได้ถามทรัมป์ว่า สหรัฐฯ สามารถวางกองกำลังทหารไว้ในภูมิภาคตะวันออกกลางไปพร้อมๆ กับการยับยั้งการขยายอิทธิพลของรัสเซียและจีนได้หรือไม่ หรือสหรัฐฯ จำเป็นต้องถอนทหารออกมาจากบางพื้นที่ เพื่อจัดระเบียบภาระหน้าที่ในต่างแดนของตนเองเสียใหม่
ทรัมป์ตอบว่า สหรัฐฯ มีทางเลือกมากมาย และมองว่ากองกำลังทหารสหรัฐฯ หลายแห่งอยู่ในจุดที่ไม่ควรอยู่ และไม่ได้อยู่ในบางจุดที่ควรจะต้องอยู่ สิ่งที่เราทำได้คือจัดการกับความคาดหวังของตัวเองและเคลื่อนย้ายทหารไปยังพื้นที่บางจุดได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนประเด็นที่ถูกถามว่า ทรัมป์จะถอนทหารออกจากเกาหลีใต้หรือไม่ เขาอาจพิจารณาเสนอให้มีการถอนกำลังทหารออกจากประเทศดังกล่าว หากรัฐบาลเกาหลีใต้ไม่ให้การสนับสนุนทางการเงินเพิ่มเติมแก่กองกำลังทหารอเมริกัน ซึ่งขณะนี้มีอยู่ราว 40,000 คน พร้อมระบุว่า กองทหารดังกล่าวอยู่ในจุดที่ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะภัยคุกคามจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเกาหลีเหนือ
อุบไต๋เรื่องนโยบายไต้หวัน
ทรัมป์บอกว่า เขาถูกถามถึงประเด็นนี้บ่อยมาก และมักปฏิเสธตอบคำถามนี้ เพราะไม่ต้องการที่จะหงายไพ่ของตนเองให้ใครรับรู้ และไม่อยากละทิ้งความสามารถในการเจรจาต่อรองใดๆ ด้วยการให้ข้อมูลในประเด็นนี้กับนักข่าว เขายังระบุอีกว่า จีนทราบคำตอบของเขาดีว่าเขาจะช่วยเหลือไต้หวันหรือไม่ หากถูกจีนรุกราน
เดินหน้าสร้างกำแพงชายแดน ผลักดันผู้อพยพ
ทรัมป์มองว่าสหรัฐฯ ไม่มีทางเลือก และจำเป็นต้องผลักดันคนกลุ่มนี้ให้ออกไปจากสหรัฐฯ เขาเน้นย้ำว่า คนกลุ่มนี้ไม่ใช่พลเมืองอเมริกัน แต่คือกลุ่มคนที่ผิดกฎหมายในประเทศนี้ และชี้ว่านี่คือการรุกรานสหรัฐฯ อย่างที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อน โดยเขาเชื่อว่าปัจจุบันมีผู้อพยพอยู่ในสหรัฐฯ แล้ว 15 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคนภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
ทรัมป์ระบุว่า ผู้อพยพจำนวนมากเกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรมข้ามชาติ สถานการณ์ในหลายรัฐทั่วประเทศกำลังเผชิญกับความท้าทายนี้ โดยสหรัฐฯ จำเป็นต้องใช้กฎหมายท้องถิ่นและตำรวจในพื้นที่ เพราะพวกเขารู้จักชื่อและที่อยู่ของคนกลุ่มนี้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังจำเป็นต้องเพิ่มความเข้มงวดตามแนวชายแดนมากยิ่งขึ้น โดยที่สหรัฐฯ อาจไม่จำเป็นต้องสร้างค่ายกักกันผู้อพยพใหม่เพิ่มเติม เพราะเขาจะเน้นหนักไปที่การผลักดันคนกลุ่มนี้ออกนอกประเทศ
นอกจากนี้การเดินหน้าสร้างกำแพงสูงตามแนวชายแดนจะเป็นสิ่งแรกๆ ที่ทรัมป์จะทำ หากได้รับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ อีกครั้ง โดยเขาระบุว่า สหรัฐฯ สามารถเพิ่มแนวกำแพงได้อีกราว 200 ไมล์ เพราะกำแพงเหล่านี้ใช้งานได้ผลจริง และไม่เคยเป็นสิ่งที่ล้าสมัย
นโยบายทำแท้งเสรี
ทรัมป์ยังไม่ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนต่อประเด็นนี้ และกล่าวถึงไม่บ่อยนัก เขาระบุว่า การตีความและออกกฎหมายบังคับใช้เป็นสิทธิของแต่ละรัฐ ซึ่งแต่ละรัฐก็จะแตกต่างกันออกไป โดยเขาจะไม่คัดค้านร่างกฎหมายของรัฐบาลกลางที่จะจำกัดสิทธิการทำแท้ง เพราะเชื่อว่าสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้น และเป็นสิทธิที่แต่ละรัฐจะต้องดำเนินการในระดับรัฐ
นโยบายแก้ปัญหาอาชญากรรมในประเทศ
ทรัมป์มองว่าปัญหาอาชญากรรมเกี่ยวโยงกับวิกฤตผู้อพยพที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ เขายังกล่าวโจมตีว่า ตัวเลขอาชญากรรมล่าสุดในสหรัฐฯ จาก FBI ที่มีแนวโน้มลดลงนั้นเป็นเรื่องโกหก โดยชี้ว่าอาชญากรรมในสหรัฐฯ ไม่มีทางที่จะลดลงได้ในปีที่ผ่านมา เนื่องจากสหรัฐฯ กำลังประสบปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ เขายังตั้งคำถามด้วยว่า พวกเขาได้นับรวมอาชญากรรมที่เกิดจากกลุ่มผู้อพยพหรือไม่ พร้อมให้ข้อเสนอแนะว่า กฎหมายสหรัฐฯ จะต้องรัดกุมต่อประเด็นปัญหาเหล่านี้มากยิ่งขึ้น
ภาพ: Philip Montgomery / TIME
อ้างอิง:
- https://time.com/6972022/donald-trump-transcript-2024-election/
- https://time.com/6972021/donald-trump-2024-election-interview/