ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเผชิญกับการแข่งขันอย่างดุเดือด รวมถึงความท้าทายในระยะสั้น ไม่ว่าจะเป็นความต้องการของ EV ที่ชะลอตัวลง, การแข่งขันจากแบรนด์จีนที่ต้องการเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำอย่าง Tesla ของอีลอน มัสก์ ได้รายงานรายได้ที่ลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2012 อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ทุกบริษัทที่กำลังประสบปัญหา เพราะบางบริษัทมียอดขายจาก EV ที่ช่วยดันรายได้ในไตรมาสแรกของปี 2024 ได้อย่างสวยงาม
Tesla ทำรายได้ลดลงมากที่สุดในรอบ 12 ปี
บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าของมัสก์รายงานผลประกอบการรายไตรมาส 1 ปี 2024 มีรายได้ลดลง 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน และนี่ถือเป็นรายได้ที่ลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2012 รายได้ที่อ่อนแอของ Tesla มาจากความท้าทายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งในทะเลแดง, การโจมตีด้วยการวางเพลิงที่ Gigafactory ในกรุงเบอร์ลิน, ต้นทุนการผลิต และความต้องการของผู้บริโภคที่ลดลงสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
ผลประกอบการของ Tesla ยังออกมาแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยรายงานรายได้ 2.13 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก หรือประมาณ 45 เซนต์ต่อหุ้น ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัทจะมีรายได้อยู่ที่ 2.21 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 51 เซนต์ต่อหุ้น ขณะที่กำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) อยู่ที่ 1.2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งตัวเลขนี้ยังแย่กว่าการคาดการณ์ และลดลงมากกว่า 50% จากปีที่แล้ว
ทั้งนี้ Tesla รายงานยอดส่งมอบรถทั่วโลก 386,810 คันในไตรมาสแรก ต่ำกว่าประมาณการอย่างมากที่ 449,080 คัน และบริษัทยังผลิตรถยนต์ได้ 433,371 คัน ซึ่งต่ำกว่าประมาณการที่ 452,976 คันเช่นกัน ความแตกต่างระหว่างรถยนต์ประมาณ 46,500 คันที่ผลิตเทียบกับยอดขาย ทำให้เกิดความกังวลว่าความต้องการรถยนต์ Tesla ทั่วโลกลดลง นำไปสู่การลดราคาครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (22 เมษายน) Tesla ประกาศลดราคารถยนต์ในสหรัฐอเมริกาและจีน ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลงระหว่างวันหลังจากที่รับรู้ข่าว
หุ้น Tesla ร่วง 42% นับแต่ต้นปีที่ผ่านมา
ราคาหุ้นของ Tesla (TSLA) ลดลงเกือบ 42% นับแต่ต้นปีที่ผ่านมา และเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีผลงานย่ำแย่ที่สุดใน S&P 500 ตั้งแต่เริ่มต้นปี 2024 อย่างไรก็ตาม มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Tesla เปิดเผยข่าวในงานประกาศผลประกอบการว่า บริษัทจะเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ราคาถูกกว่าภายในต้นปีหน้า ข่าวดีนี้ทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมากกว่า 11% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการของวันที่ประกาศ
ยอดขายรถ EV ของ Ford ช่วยดันรายได้ไตรมาสแรกของบริษัท
ด้านบริษัทยานยนต์เก่าแก่อย่าง Ford รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (24 เมษายน) ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยยอดขาย EV เพิ่มขึ้น 86% เป็น 20,233 คัน ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2024
นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นของ Ford มียอดขายเพิ่มขึ้น 2 หรือ 3 หลักเลยทีเดียว
F-150 Lightning ยังคงเป็นรถกระบะไฟฟ้าที่มียอดขายสูงสุดในสหรัฐฯ โดยมียอดขาย 7,743 คัน เพิ่มขึ้น 80% จากปีที่แล้ว ขณะที่ Mustang Mach-E ของ Ford เป็นรถ SUV ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ในสหรัฐฯ โดยมียอดส่งมอบ 9,589 คัน เพิ่มขึ้น 77% จากไตรมาส 1 ปี 2023 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง รายได้ (Revenue) รถยนต์ EV ของ Ford ลดลงมากถึง 84% ในไตรมาส 1 ปี 2024
BMW ขายรถ EV ครบ 1 ล้านคัน
ขณะที่ BMW Group ยังคงมีรายได้ที่เติบโตอย่างสวยงาม และทำสถิติการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบครบ 1 ล้านคัน นับตั้งแต่เปิดตัว BMW i3 ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบคันแรกสู่ตลาดในปี 2013
บริษัทแม่ BMW ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า BMW, MINI และ Rolls-Royce จำนวน 82,700 คันในช่วง 3 เดือนแรกของปี ซึ่งเพิ่มขึ้น 28% จากปีที่แล้ว และมากพอที่จะแซงหน้าผู้ผลิตรถยนต์หรูที่เป็นคู่แข่งกัน ขณะที่ยอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 584,671 คันในไตรมาส 1 (+1.1%) แต่รถยนต์ไฟฟ้าของ BMW เป็นปัจจัยหลักของการเติบโตครั้งนี้ โดยแบรนด์ BMW ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ 78,691 คันในไตรมาส 1 เพิ่มขึ้น 40.6% จากปีที่แล้ว โดยรถยนต์รุ่น iX3, iX1, iX และ i7 เป็นที่ต้องการเป็นพิเศษ
อ้างอิง: