สมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) หรือ DAAT ร่วมกับ คันทาร์ (ประเทศไทย) เผยผลสำรวจมูลค่าตลาดโฆษณาดิจิทัลของไทยในปี 2566 มีมูลค่าสูงถึง 29,282 ล้านบาท เติบโตแบบก้าวกระโดด 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และคาดการณ์ว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องที่ 8% ในปี 2567 แม้สถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ก็ตาม
จากตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมโฆษณาดิจิทัลยังคงเป็นช่องทางการตลาดที่แบรนด์ให้ความสำคัญและมีแนวโน้มจะลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใช้ชีวิตผ่านโลกออนไลน์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรับชมคอนเทนต์ต่างๆ การซื้อของผ่านอีคอมเมิร์ซหรือแม้กระทั่งการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น ส่งผลให้งบประมาณด้านการตลาดจำนวนมากถูกจัดสรรไปลงทุนในสื่อดิจิทัล เพื่อช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ผลสำรวจดังกล่าวได้เจาะลึกข้อมูลจาก 66 ประเภทอุตสาหกรรม และ 18 ประเภทสื่อดิจิทัล โดยความร่วมมือจากเอเจนซีชั้นนำ 37 แห่ง ซึ่ง ภารุจ ดาวราย นายกสมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) ให้ความเห็นว่า ข้อมูลที่ถูกต้องเหล่านี้ถือเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาอุตสาหกรรมโฆษณาดิจิทัลของไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง ข้อมูลที่ครอบคลุมทุกมิติจะช่วยให้แบรนด์และเอเจนซีสามารถใช้เป็นแนวทางในการวางกลยุทธ์การตลาดได้อย่างเหมาะสมและแม่นยำมากยิ่งขึ้น
เมื่อมองลึกไปถึงมูลค่าการลงทุนแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า 5 อันดับแรกยังคงเป็นกลุ่มเดิมจากปีก่อน นำโดยกลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่มีเม็ดเงินลงทุนสูงสุดถึง 3,464 ล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตแตะ 5,040 ล้านบาทในปี 2567
ตามด้วยกลุ่มยานยนต์ที่คาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตที่คงที่จากปีก่อน โดยมีมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 2,957 ล้านบาท เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ คาดการณ์ว่าจะเติบโตที่ 2,548 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มธุรกิจการสื่อสารและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าลงทุนที่ลดลง
ทั้งนี้กลุ่มอุตสาหกรรมความงามและสกินแคร์ยังคงรั้งตำแหน่งอันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่มีการแข่งขันสูง มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา อีกทั้งผู้บริโภคโดยเฉพาะผู้หญิงก็ให้ความสนใจในเรื่องของการดูแลตัวเองมากขึ้น ทำให้แบรนด์ในกลุ่มนี้ยังคงต้องทุ่มงบประมาณด้านการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์อย่างหนักเพื่อสร้างการรับรู้ ภาพลักษณ์ และกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง
อีกมุมมองที่น่าสนใจคือเมื่อแบ่งตามช่องทางโฆษณาดิจิทัล แม้ Meta (Facebook และ Instagram) ยังครองตำแหน่งช่องทางยอดนิยมที่แบรนด์เลือกลงทุนเป็นอันดับ 1 มูลค่า 8,870 ล้านบาท แต่ปีนี้เริ่มเห็นการกระจายไปยังช่องทางอื่นๆ มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง TikTok ที่คาดว่าจะมีเม็ดเงินโฆษณาสูงถึง 3,070 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดดถึง 44% รวมไปถึงอีคอมเมิร์ซ (+59%), X (+16%) และ Online Video (+19%) ที่ล้วนมีอัตราเติบโตเป็นสองหลักเช่นกัน
ปรากฏการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับทิศทางของตลาดดิจิทัลในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแบรนด์และนักการตลาดจึงจำเป็นต้องกระจายการลงทุนไปในแพลตฟอร์มใหม่ๆ นอกเหนือจาก Facebook และ Instagram เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความหลากหลายมากขึ้น
โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมใช้แพลตฟอร์มอย่าง TikTok, X ฯลฯ ในขณะเดียวกัน การเติบโตอย่างต่อเนื่องของอีคอมเมิร์ซก็สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น จนทำให้การโฆษณาบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซกลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญที่แบรนด์ต่างๆ ให้ความสนใจเป็นพิเศษ
ดร.อาภาภัทร บุญรอด กรรมการผู้จัดการ และผู้บริหารฝ่ายการพัฒนาธุรกิจประจำภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ คันทาร์ (ประเทศไทย) มองว่า การเติบโตของเม็ดเงินโฆษณาดิจิทัลนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใช้ชีวิตผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น
แต่สิ่งที่น่าจับตาคือการเปลี่ยนแปลงของช่องทางการลงทุนในอนาคต เพราะเริ่มเห็นแนวโน้มว่าเม็ดเงินบางส่วนอาจถูกดึงไปจากโซเชียลมีเดียไปสู่ช่องทางอื่นๆ ที่กำลังเติบโต ซึ่งถือเป็นความท้าทายครั้งใหม่สำหรับแบรนด์ในการสร้างสมดุลของกลยุทธ์ที่เหมาะสมระหว่างการลงทุนในช่องทางหลักๆ และการทดลองกับช่องทางใหม่ๆ ที่อาจมาแรงในอนาคต
นอกจากนี้เม็ดเงินโฆษณาผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซก็ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนเสียเม็ดเงินไปให้ช่องทางโซเชียลหรืออินฟลูเอ็นเซอร์ที่กำลังเติบโตก็ตาม
ปี 2566 ที่ผ่านมาจึงเป็นปีที่สดใสของวงการโฆษณาดิจิทัล แม้เศรษฐกิจไทยโดยรวมอาจยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร แต่นักการตลาดก็ยังคงเล็งเห็นความสำคัญของการสื่อสารกับผู้บริโภคผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งเชื่อว่าในปี 2567 เราจะได้เห็นการเติบโตขึ้นของทั้งภาพรวมอุตสาหกรรม และจากการเข้ามาของกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่น่าจับตามองอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจด้านการท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้กระทั่งเกมออนไลน์ ที่คาดว่าจะกลับมาผงาดอีกครั้งหลังจากเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลายและผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น
ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นในยุคดิจิทัล แบรนด์และเอเจนซีจึงต้องติดตามข้อมูลและความเคลื่อนไหวของตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมของผู้บริโภคและความนิยมของแต่ละช่องทาง มาปรับใช้ให้เข้ากับกลยุทธ์การตลาดของแบรนด์ได้อย่างเหมาะสมและทันต่อการเปลี่ยนแปลง ผสมผสานทั้งความคิดสร้างสรรค์และการใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อส่งมอบคอนเทนต์ที่โดนใจ สร้างการมีส่วนร่วมและความประทับใจให้ผู้บริโภคไป พร้อมกับการสร้างการเติบโตให้แบรนด์ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว