Goldman Sachs ประเมินว่า สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ ทองแดง อะลูมิเนียม และน้ำมัน จะเป็นกลุ่มสินทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์จากการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ ที่กำลังจะมาถึง
Goldman Sachs วาณิชธนกิจจากสหรัฐฯ ระบุว่า สินค้าโภคภัณฑ์เตรียมปรับตัวขึ้นในปีนี้ เนื่องจากธนาคารกลางต่างๆ ทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรปเตรียมจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มความต้องการ (Demand) ของภาคอุตสาหกรรมและผู้บริโภค
นักวิเคราะห์ต่างๆ รวมไปถึง Samantha Dart และ Daan Struyven ระบุเมื่อวันที่ 24 มีนาคมว่า สินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ อาจปรับตัวขึ้นกว่า 15% ในปีนี้ เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลง การฟื้นตัวของการผลิต และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงมีอยู่
“โดยราคาทองแดง อะลูมิเนียม ทองคำ และผลิตภัณฑ์น้ำมัน อาจไต่ขึ้นอีก นับเป็นการเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่นักลงทุนจะต้องคัดเลือกผลิตภัณฑ์ เนื่องจากไม่ใช่ทุกผลิตภัณฑ์จะปรับตัวขึ้นหมด”
ในไตรมาสแรกราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันดิบ หรือทองแดงที่พุ่งสูงถึง 9,000 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่ทองคำก็พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากทั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ส่งสัญญาณถึงความตั้งใจที่จะลดต้นทุนการกู้ยืมหรือดอกเบี้ยลงในปีนี้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อลดลง นอกจากนี้จีนยังส่งสัญญาณสนับสนุนการฟื้นตัวเพิ่มเติมอีกด้วย
“เราพบว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้น โดยการเพิ่มขึ้นของโลหะหนักจะมากที่สุด (โดยเฉพาะทองแดงและทองคำ) ตามมาด้วยน้ำมันดิบ” นักวิเคราะห์กล่าว
แนวโน้มเชิงบวกของ Goldman Sachs สอดคล้องกับนักวิเคราะห์เจ้าอื่นๆ รวมถึง Macquarie Group ที่มองว่า สินค้าโภคภัณฑ์กำลังเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้นครั้งใหม่ โดยได้รับความช่วยเหลือจากอุปทานที่ตึงตัว และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ขณะที่ Jeff Currie ซึ่งเคยเป็นหัวหน้าฝ่ายวิจัยสินค้าโภคภัณฑ์ของ Goldman Sachs และปัจจุบันอยู่ที่ Carlyle Group ยังได้คาดการณ์ว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะเพิ่มขึ้นเมื่อ Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่วน JPMorgan Chase & Co. เน้นย้ำถึงศักยภาพขาขึ้นของทองคำ
Goldman Sachs คาดการณ์ว่า ราคาทองแดงอยู่ที่ 10,000 ดอลลาร์ต่อตัน ในช่วงสิ้นปี อะลูมิเนียมอยู่ที่ 2,600 ดอลลาร์ต่อตัน และทองคำอยู่ที่ 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์
อ้างอิง: