วันนี้ (21 มีนาคม) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เวลา 07.45 น. เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในการมอบนโยบายให้กับตำรวจระดับผู้บังคับบัญชาจากทั่วประเทศ โดยมี พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้การต้อนรับ
ซึ่งการประชุมในวันนี้เกิดขึ้นหลังจากที่วานนี้ (20 มีนาคม) นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีให้ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนที่ 14 และ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไปปฏิบัติหน้าที่ในสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีมูลเหตุมาจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมแต่งตั้งให้ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทน
วาระการประชุมดังกล่าวถือเป็นการประชุมนอกรอบที่เกิดขึ้น เพราะแต่เดิมการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) จะมีกำหนดจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 22 มีนาคม
ในที่ประชุม นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำเรื่องการปราบปรามยาเสพติดว่า พวกเราทุกคนมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ว่าเป็นความผิดของทหารหรือหน่วยชายแดน ส่วนเรื่องการปราบปรามหนี้นอกระบบ ขณะนี้ยังพบว่ามีการปล่อยให้มีการกู้ยืมเงินที่ไม่เป็นธรรมต่อประชาชน เป็นเรื่องที่ตนยังไม่เห็นว่าเรื่องนี้ที่เป็นนโยบายหลักของรัฐบาลถูกบริหารจัดการได้ดีพอ การเข้าสู่ขั้นตอนการประนอมหนี้เจ้าหนี้-ลูกหนี้ยังเข้าร่วมน้อย
ประเด็นที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องผู้มีอิทธิพลที่ทำให้ประชาชนไม่อยากเข้าสู่ขั้นตอนการประนอมหนี้ ฉะนั้นขอให้ผู้บังคับบัญชากำชับผู้บังคับการจังหวัดทุกคนให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นได้สำเร็จ โดยประสานงานกับฝ่ายความมั่นคงอื่นๆ ด้วย
นายกฯ กล่าวต่อว่า การปราบปรามสินค้าเถื่อน หนีภาษี และการลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายจากชายแดน รัฐบาลให้ความสำคัญมากกับเรื่องนี้ ฉะนั้นขอให้ทุกท่านพิจารณาเรื่องราคายางที่ปรับดีขึ้นมาได้เป็นตัวอย่าง เพราะเรื่องดังกล่าวเกิดการบูรณาการร่วมกันของหลายหน่วยงาน
การปราบปรามบ่อนการพนัน ขอให้เจ้าหน้าที่ยึดตามกฎหมายเป็นหลัก บ่อนพนันอย่าให้มีเกิดขึ้น การปราบปรามในส่วนพนันออนไลน์เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องที่พี่น้องประชาชนให้ความสำคัญมาก ใครที่ดูแลเรื่องนี้ขอให้เคร่งครัด
ด้านอาวุธเถื่อน อาวุธสงคราม และอาวุธปืน เป็นเรื่องที่ต้องมีการจัดการอย่างจริงจัง เช่นเดียวกับเรื่องเผาป่า การควบคุมค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ฝ่ายความมั่นคงอย่างตำรวจจะต้องช่วยกันทำงาน ร่วมกันบูรณาการทุกภาคส่วน จากที่ผ่านมาผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ได้ทำไปแล้วคือ เริ่มจับกุมคนเผาป่าและมีรางวัลให้เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดี ตนเชื่อว่าพวกท่านมีอำนาจ น่าจะออกกฎเฉพาะกิจในพื้นที่นั้นๆ ไม่ให้เกิดการเผาป่าได้
นายกรัฐมนตรีระบุต่อว่า นโยบายท่องเที่ยวและการดูแลนักท่องเที่ยวต้องเน้นย้ำ เพราะนโยบายของรัฐบาลผลักดันให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยว เรื่องของการคัดกรองบุคคลเรื่องต่างๆ เหล่านี้ตนถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ รวมไปถึงผู้นำท่องเที่ยวหรือไกด์ การทำธุรกิจที่ไม่ถูกต้อง เรื่องนี้ทุกท่านที่อยู่ในพื้นที่รู้อยู่แล้วว่าใครเป็นอะไร ใครทำอะไรอยู่ เพราะฉะนั้นขอให้มีการกำชับการทำงานอย่างเร่งด่วน
แต่ขอให้อย่าละเลยเรื่องการดูแลสวัสดิการของข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย ที่ตนขอคำตอบไปว่าจะจัดการอย่างไรเรื่องนี้ ขอให้รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเดินหน้าโดยเร็ว
และประเด็นสุดท้าย ขอให้พวกเรากันเองมีความสามัคคี ทุกคนก็เป็นคน มีการรักใครชอบใคร วันนี้ตนเชื่อว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้าใจถึงปัญหาเรื่องที่มันเกิดขึ้นกันดี เรื่องการสามัคคีเลือกข้าง ใครเป็นลูกน้องใคร ตนเชื่อว่าเราเก็บความรักไว้ในใจตัวเองดีกว่า วันนี้ให้เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง ดูแลพี่น้องประชาชนให้ดีที่สุด
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า เรื่องคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้น เหตุการณ์เมื่อวานนี้ (20 มีนาคม) ขอให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเรามีคณะกรรมการแล้ว 3 ท่าน หลังจากที่มีผลสรุปแล้ว ก็ขอให้เป็นไปตามกระบวนการ เพราะตัวของผมเองก็ยืนยันว่าไม่ได้ฝักใฝ่ข้างใด เราอยู่ตรงนี้เพื่อดูแลพี่น้องประชาชน ถ้าเราอยู่ตรงนี้ได้เราก็ดูแลพี่น้องต่อไปได้ องค์กรตำรวจแห่งชาติก็ได้ทำงานได้อย่างสมศักดิ์ศรี
ภายหลังการประชุม เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ในทุกหัวข้อที่เข้าประชุม ตนได้เน้นย้ำทุกเรื่อง ให้ความสำคัญเท่ากัน เพราะประชาชนได้รับปัญหา ตนได้ย้ำว่าเรามาอยู่ตรงนี้ เรามาอยู่เพื่อพี่น้องประชาชน เรื่องที่จะไปก้าวก่ายใครไม่อยากให้มีเกิดขึ้นอีกแล้ว เราไม่ได้มีหน้าที่ให้ข่าวเพื่อสนับสนุนคนใดคนหนึ่ง เรามีหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชนทุกอย่าง เรายึดตามกระบวนการยุติธรรม กระบวนการกฎหมาย
ซึ่งขอยืนยันว่า ขณะนี้ทั้งสองท่านยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ขั้นตอนมีกรอบระยะเวลาตรวจสอบ ซึ่งตนก็มองว่าต้องเกิดขึ้นและสิ้นสุดให้เร็วที่สุด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะเกิดแรงกระเพื่อมใต้น้ำหรือไม่ นายกรัฐมนตรีระบุว่า ไม่ทราบ และเมื่อถามต่อว่า สามารถควบคุมสถานการณ์ได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรีไม่ตอบคำถาม
พร้อมกล่าวต่อว่า ตนมีหน้าที่รับปัญหามาก็ต้องบริหารจัดการกันไป คิดว่าวันนี้เรื่องนี้เราจบกันได้และเราเดินหน้าดีกว่า ดูแลปัญหาเรื่องยาเสพติด เรื่องการพนันออนไลน์ เรื่องขโมย ทั้งสองท่านที่มีปัญหาก็ไปอยู่สำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว ขออย่าไปกดดัน อย่าชี้นำ ปล่อยให้เวลาของกระบวนการยุติธรรมทำงาน
ตัวท่านผู้รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็มีหน้าที่ที่ต้องดูแลพี่น้องประชาชน ฉะนั้นเราต้องกลับมาดูว่าเรายืนอยู่ตรงนี้เพื่อใคร เรื่องดราม่าต่างๆ จบไปแล้ว น่าจะปราศจากการแทรกแซง ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพราะถ้าเรามัวยุ่งแต่กับเรื่องนี้ ประชาชนก็จะเดือดร้อน ทุกท่านจะไม่โฟกัสเรื่องการทำงาน ซึ่งตนได้พูดคุยกับผู้รักษาการแล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง นโยบายที่รับมอบหมายนี้ให้ลงแต่ละหน่วยงาน
ผู้สื่อข่าวถามว่า การลงนามโยกย้าย 2 นายพลเป็นเรื่องลำบากใจหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ยาก ลำบากใจ และไม่สบายใจ แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อจะให้เกิดความกระจ่างกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อสังคม ขณะนี้ยังไม่มีการแบ่งงานให้ทั้งสองท่าน เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและตนมีภารกิจจำนวนมาก แต่คาดว่าวันนี้จะได้มีการพูดคุยกัน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า เหตุการณ์การตรวจสอบที่เกิดขึ้นในอดีตเคยมีการใช้คณะกรรมการจากภายนอกตั้งขึ้นมาสอบสวน แต่สุดท้ายเรื่องก็ยืดเยื้อและต้องกลับมาใช้คำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คาดว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเช่นเดียวกันหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คำถามถูกต้องแล้ว เรื่องนั้นเป็นอดีต แต่ตอนนี้เป็นปัจจุบัน ผู้นำคนละคนกัน
มีรายงานว่า ก่อนหน้าที่สื่อมวลชนจะได้เข้าไปร่วมรับฟังการประชุมนโยบาย นายกรัฐมนตรีได้พูดในที่ประชุมว่า หลังจากนี้การมอบหมายนโยบายและการแถลงข่าวที่สำคัญขอให้สื่อมวลชนเข้ามาติดตามได้ ซึ่งที่ผ่านมาตนเองได้ย้ำให้สื่อมวลชนเข้าร่วมฟังในการแถลงมา 3 ครั้งแล้ว แต่ไม่มีใครปฏิบัติตาม ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเชิญสื่อมวลชนทั้งหมดขึ้นมารับฟังการแถลงนโยบายในห้องประชุมจนจบ
ในช่วงบ่ายวันนี้ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ จะเป็นประธานการประชุมบริหารเพื่อมอบนโยบาย โดยคาดว่าเป็นการกำชับเรื่องการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงความรักใคร่สามัคคีภายในองค์กรตำรวจ ให้กับนายตำรวจที่เข้าประชุม