SCB CIO ประเมินมุมมองเศรษฐกิจและการลงทุน หลังผลการเลือกตั้งอินโดนีเซียที่ ปราโบโว ซูเบียนโต ได้รับคะแนนเสียงสูงสุด เตรียมเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ เดินหน้านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและสวัสดิการสังคม พร้อมสานต่อนโยบายรัฐบาลชุดเดิม สร้างเศรษฐกิจให้เติบโตด้วยกลไกตลาดเสรี ดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ และเน้นการพึ่งพาตัวเองมากขึ้นทั้งด้านพลังงาน อาหาร และน้ำ รวมทั้งลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ ตั้งเป้าเศรษฐกิจอินโดนีเซียเติบโตเฉลี่ย 6-7% ต่อปี SCB CIO ยังคงมุมมอง Neutral แม้หุ้นกลุ่มธนาคารเติบโตดี Valuation ของตลาดหุ้นอยู่ในระดับต่ำ และรายได้ (Earnings) ของบริษัทจดทะเบียนคาดว่ามีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปีนี้ที่กว่า 12% และปี 2568 กว่า 9% แต่ยังมีปัจจัยกังวลในเรื่องภาคการส่งออกที่หดตัวอย่างต่อเนื่อง การปรับลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และความเสี่ยงที่รัฐบาลอาจปรับเพิ่มเพดานขาดดุลการคลังต่อ GDP จาก 3% เป็น 6% ที่อาจจะกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังระยะกลางถึงยาวได้
ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการเลือกตั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ผลการนับคะแนนแบบไม่เป็นทางการ (Quick Count) ที่มีความแม่นยำค่อนข้างสูงชี้ว่า ปราโบโว ซูเบียนโต ได้คะแนนเฉลี่ย 58% ของคะแนนเสียงทั้งหมด ทำให้ปราโบโวคว้าชัยชนะจากการเลือกตั้งประธานาธิบดี และเตรียมรอเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ โดยไม่น่าจะต้องมีการเลือกตั้งรอบสอง เนื่องจากเป็นไปตามกฎการเลือกตั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซียที่ระบุว่า กรณีผู้สมัครชนะการเลือกตั้งต้องได้คะแนนมากกว่า 50% และได้คะแนนอย่างน้อย 20% ในจังหวัดต่างๆ มากกว่าครึ่งหนึ่งของจังหวัดทั้งประเทศ หากไม่มีผู้สมัครคนใดได้คะแนนเสียงถึงเกณฑ์ที่กำหนดจึงจะจัดเลือกตั้งรอบสอง โดยให้ผู้สมัครที่มีคะแนนเสียงอันดับ 1 และ 2 ชิงชัยชนะกัน
เมื่อวิเคราะห์นโยบายหาเสียงของปราโบโวพบว่า โดยภาพรวมเน้นไปที่การกระตุ้นเศรษฐกิจและด้านสวัสดิการสังคม นโยบายหลักๆ ได้แก่ ด้านสุขภาพ อสังหาริมทรัพย์ แรงงาน การคลัง และสวัสดิการสังคม โดยตัวอย่างนโยบายเด่นๆ เช่น จัดตรวจสุขภาพฟรีให้ประชาชนทุกคนปีละ 1 ครั้ง, พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของหมู่บ้านและตำบลอย่างต่อเนื่อง, เพิ่มเงินเดือนข้าราชการ, จัดตั้งสำนักงานสรรพากรของรัฐแยกออกมาจากกระทรวงการคลัง เพื่อเพิ่มอัตราส่วนรายได้ภาครัฐต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และเพิ่มโปรแกรมบัตรสวัสดิการสังคมเพื่อขจัดความยากจนอย่างแท้จริง เป็นต้น
นอกจากนี้ยังพร้อมสานต่อนโยบายรัฐบาลของ โจโก วิโดโด ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน เช่น นโยบายโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะโครงการสร้าง ‘นูซันตารา’ เมืองหลวงแห่งใหม่ ทั้งยังต้องการมุ่งเน้นให้เศรษฐกิจเติบโตด้วยกลไกตลาดเสรี ดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ และเน้นการพึ่งพาตัวเองมากขึ้นด้านพลังงาน อาหาร และน้ำ รวมทั้งลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศด้วย
สำหรับช่วง 5 ปีต่อจากนี้ที่ปราโบโวจะเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ได้ตั้งเป้าหมายเศรษฐกิจอินโดนีเซียเติบโตเฉลี่ย 6-7% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าที่ IMF คาดอยู่ที่ 5% ระหว่างปี 2567-2568 นอกจากนี้ยังต้องการลดจำนวนคนว่างงานลงประมาณ 2 ล้านคนภายใน 5 ปี ผ่านการสืบสานและต่อยอดนโยบายของประธานาธิบดีโจโก วิโดโด โดยเราคาดว่าจะช่วยสนับสนุนภาคการลงทุน จากการที่ภาคเอกชนมีความมั่นใจมากขึ้น และการเพิ่มการใช้จ่ายงบลงทุน (CAPEX) ส่วนการบริโภคคาดว่าจะได้รับผลบวกจากการใช้จ่ายภาครัฐในด้านสังคมที่มีแนวโน้มดำเนินต่อไป ตามที่ได้ผ่านงบประมาณรายจ่ายไว้แล้ว ขณะเดียวกันปราโบโวประกาศไว้ว่า จะเริ่มต้นเดินหน้านโยบายที่หาเสียงไว้หลายประการทันทีที่เข้ามาบริหารประเทศเต็มตัว จึงเป็นแรงกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชน ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะต่อไป
ทั้งนี้ SCB CIO มีมุมมองเชิงบวกเพิ่มขึ้นต่อตลาดหุ้นอินโดนีเซีย โดยมองว่าตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนระยะสั้นจากปัจจัย ดังนี้
- การเลือกตั้งที่มีแนวโน้มสำเร็จในรอบแรก ส่งผลบวกต่อ Sentiment บนตลาดหุ้นอินโดนีเซีย
- ผลประกอบการของกลุ่มธนาคารยังมีแนวโน้มเติบโตดี
- Valuation ของตลาดหุ้นอินโดนีเซียอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยเทรดอยู่บนราคาต่อกำไรต่อหุ้นในระยะข้างหน้า (Forward P/E) ที่ 13.7x หรือยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีประมาณ -1 s.d.
- Earnings ของบริษัทจดทะเบียนยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปี 2567 ที่ประมาณ +12.2% และในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ +9.4%
อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุมมอง Neutral (ถือ) บนตลาดหุ้นอินโดนีเซียอยู่ เนื่องจากประเด็นความกังวลที่มีอยู่ ได้แก่ 1. ภาคการส่งออกที่หดตัวอย่างต่อเนื่อง, 2. การปรับลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งจะส่งผลต่อการส่งออก ดุลบัญชีเดินสะพัด และรายได้ภาครัฐของอินโดนีเซีย, 3. ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับลดลงอาจส่งผลกดดันต่อรายได้สุทธิของรัฐบาลให้ปรับลดลง และ 4. ความเสี่ยงที่รัฐบาลภายใต้การนำของปราโบโวอาจปรับเพิ่มเพดานขาดดุลการคลังต่อ GDP จากปัจจุบันที่ 3% เป็น 6% ซึ่งหากเกิดขึ้นจะกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังระยะกลางถึงยาว และส่งผลลบต่อค่าเงินรูเปียห์ให้อ่อนค่าลง และบอนด์ยีลด์อินโดนีเซียอาจกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้