ถ้าคุณตัดสิน โอ๊ต-ปราโมทย์ ปาทาน จากบุคลิกชั้นแรก คุณจะได้เห็นนักร้องชายสายฮา สายห่าม ซึ่งแบบนั้นก็คิดไม่ผิด (เพราะวัยเด็กจากบทสัมภาษณ์ตอนแรกสร้างเขามาแบบนั้น ได้ที่ thestandard.co/culture-music-interview-oat-pramote-pathan-01) เพียงแต่นั่นอาจจะเป็นความจริงเพียงชั้นเดียว เพราะถ้าลองได้ทำความรู้จัก ลอกเปลือกอีกชั้นเข้าไปข้างใน ความจริงโอ๊ตยังมีมุมมองคุณภาพอีกหลายด้าน ไม่ว่าจะเรื่องความมุ่งมั่นในงาน มิตรภาพระหว่างเพื่อน ความอ่อนไหว ความจริงใจ และความรักแบบสุภาพบุรุษ (ซึ่งไม่น่าเชื่อสินะว่าเขาจะมี) ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าทุกอย่างที่ THE STANDARD บอกมา ความจริงมันหลอมรวมอยู่กับนักร้องกลางคืนชื่อ ‘โอ๊ต’ มาตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว ก่อนที่เขาจะยืนอยู่ตรงจุดที่ดีที่สุดในชีวิตซึ่งเคยใฝ่ฝันมาตลอด
วันนี้ ในวันที่งานชุกและเนื้อหอมที่สุด นอกจากจะเกิดจากความสามารถและเสน่ห์ส่วนตน เขาก็ยังไม่วายจะยกประโยชน์ให้กับมิตรภาพระหว่างเพื่อนมากหน้าหลายตาที่พาเขาให้กลายเป็นนักร้องสุดห่ามที่ใครๆ ก็อยากทำความรู้จักที่สุดในเวลานี้อีกด้วย
ชีวิตคนเรามักมีจุดเปลี่ยนสำคัญไม่ได้หนึ่งครั้งก็สองครั้ง คุณล่ะมีจุดเปลี่ยนอะไรแบบนั้นบ้างไหม ถึงเปลี่ยนจากเด็กกิจกรรมไม่ตั้งใจเรียน กลายมาเป็นคนบันเทิงแบบทุกวันนี้
พอเรียนจบมัธยม แม่ส่งไปเรียนที่ออสเตรเลียแล้วหนีกลับ ตรงนั้นคือเทิร์นนิงพอยต์ครั้งใหญ่เลย เพราะอยู่ที่นี่ติดเพื่อนมาก ไม่มีจุดหมายในชีวิต ไม่เอาอะไรสักอย่าง แต่การไปอยู่ที่โน่นมันฝึกให้เราอยู่คนเดียว คอนเซนเทรดกับชีวิตมากขึ้น ซักผ้าเอง ไปทำงาน ล้างจาน มีโอกาสได้ร้องเพลงในผับคนไทย นั่นคือการได้เงินจริงๆ จังๆ จากการร้องเพลงครั้งแรกในชีวิต
ตอนนั้นเริ่มรู้สึกว่า การร้องเพลงมันเป็นอาชีพที่หาเงินได้ในระดับหนึ่งเลย แล้วจากคนที่ไม่มีจุดหมายอะไรเลย เริ่มคิดว่ากูร้องเพลงทำงานแลกเงินดีกว่า พอคิดได้แบบนั้นผมอยู่ออสเตรเลียต่อไปได้ไม่ถึงปีก็หนีกลับ ตอนโทรบอกแม่โดนด่าฉิบหายเลย แต่เราไม่อยากอยู่ตรงนั้นแล้ว อยากกลับไปร้องเพลง อยากทำงานเกี่ยวกับแวดวงดนตรีที่เมืองไทย ทั้งๆ ที่ตอนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย รู้จักแค่ โด-เร-มี-ฟา-ซอล เขียนโน้ตก็ยังไม่เป็น แล้วพอกลับมาผมก็สมัครเรียนที่วิทยาลัยดนตรี มหาวิทยาลัยรังสิต ผมได้เจอกับอาจารย์หลายๆ คนที่ชักชวนให้เข้าวงการ และเริ่มมีผลงานในฐานะศิลปินจริงๆ
ชีวิตศิลปินในวงการบันเทิงเป็นเหมือนกับที่เคยคิดไว้ขนาดไหน
เหนื่อยนะ อยากจะเตือนน้องๆ ทุกคนว่าชีวิตศิลปินไม่ได้สวยหรู ไม่ได้ดูชิลล์อย่างที่คิด ผลงานแรกของผมคือเพลง คำสาป (เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง รักสุดท้ายของนายไฮโซ) มีคนรู้จักเพลงนี้เยอะ แต่ไม่มีใครรู้จัก ‘โอ๊ต ปราโมทย์’ เลย หลังจากนั้นผมเริ่มร้องเพลงกลางคืน ร้องครั้งแรกได้เงิน 350 บาท ขับรถไป-กลับ บวกค่าน้ำมัน ค่าทางด่วนก็ไม่เหลือแล้ว ร้องเยอะด้วยนะครับ 2 เบรก เบรกละ 45 นาที แต่ยอม เพราะอยากสนุกกับเพื่อน ถือเสียว่าเป็นการฝึก ร้องเพลงไปสักพักเริ่มขยับเป็น 500, 700, 1,000, 2,000, 4,000 มันดูเหมือนเยอะนะ แต่กว่าจะได้ก็ต้องผ่านอะไรมาเยอะ
เพราะต่อให้เป็นศิลปิน มีเพลงเพิ่มขึ้นก็ไม่ได้ต่างจากสมัยร้องกลางคืน เพราะยังไงเราก็ต้องหาเงินจากการร้องกลางคืนอยู่ดี แล้วศิลปินที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ก็มักจะเริ่มจากการร้องเพลงกลางคืน
ผมเข้าไปร้องเพลงใน Route 66 ครั้งแรกก็เห็นหน้าเอ๊ะ (จิรากร สมพิทักษ์) และผมเป็นรุ่นเดียวกับนิว-จิ๋ว (นภัสสร ภูธรใจ และปิยนุช เสือจงพรู) ซานิ (นิภาภรณ์ ฐิติธนการ) แชมป์ (ศุภวัฒน์ พีรานนท์) อัทธ์ Yes’sir Days (อังค์กูณฑ์ ธนาทรัพย์เจริญ) เรียกได้ว่าสถานที่แห่งนี้คือเขาเหลียงซานของวงการเพลงเลยนะ ผมได้ฝึกทุกวัน เจอสถานการณ์จริง ต้องรับมือกับลูกค้าเมา ต้องเอาคนให้อยู่ ต้องรู้จักพลิกแพลงให้ร้องรอดจนจบโชว์ ตรงหน้าคือสนามจริงที่ถ้ารอดตรงนั้นได้ ไปอยู่ตรงไหนเราก็รอด
อยู่เมืองไทย Know How แม่งไม่สำคัญเท่า Know Who นะครับ
ผมเลยคิดว่าเป็นเรื่องดีที่เราจะสร้างเครือข่ายเพื่อนที่สนิทกันเอาไว้
คุณเริ่มต้นคาแรกเตอร์ปากหมา หยาบคาย ด่าคนดูมาใช้ตั้งแต่เมื่อไร
ตั้งแต่เริ่มร้องเพลงกลางคืนที่ Route 66 ครับ ความจริงผมไม่ได้ตั้งใจเซตว่าจะต้องหยาบ ต้องด่าเป็นหลักนะ แค่คิดว่าคนที่มาเที่ยวกลางคืนเขาเป็นคนประเภทเดียวกันกับเรา เลยอยากให้เขารู้สึกว่ามาแล้วได้ฟังเพื่อนร้องเพลง แซวได้ อำได้ สนุกได้ ซึ่งเรื่องตรงนั้นมันคือสิ่งที่สะสมมาจากเพื่อนๆ สมัยมัธยมล้วนๆ เลย
ตั้งแต่เข้าวงการมา มีสิ่งที่คิดว่าฝืน หรือทำไปโดยไม่เป็นตัวเองบ้างไหม
ไม่ค่อยมีนะ เพราะผมไม่ฝืนตัวเองอยู่แล้ว โอเค มันอาจจะมีคนอื่นที่พยายามฝืน ซึ่งอาจจะเป็นทางที่ถูกสำหรับเขาก็ได้ แต่ด้วยลักษณะนิสัยของผมที่ไม่ชอบโดนบังคับ เลยคิดว่าถ้าคุณจะรักจะชอบผม คุณก็ควรจะรักในสิ่งที่ผมเป็นแบบนี้ เพราะถ้าผมเป็นอย่างอื่นแล้วเหนื่อย สักวันผมก็จะหยุดทำอยู่ดี แล้วพอหยุดทำ คนเหล่านั้นที่เคยชอบก็อาจจะหันมาเกลียดผม “อ้าว ไอ้โอ๊ต เมื่อก่อนมึงไม่ได้เป็นแบบนี้นี่หว่า แล้วทำไมทุกวันนี้มึงถึงไม่เหมือนเดิม” ซึ่งผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลยเลือกจะเป็นตัวเองตั้งแต่แรก
เคยเจอคำวิจารณ์ด้านลบที่ทำให้คนอย่างโอ๊ต ปราโมทย์ ต้องกลับมาทบทวนตัวเองจริงๆ บ้างไหม
“มีเยอะเลยครับ โดยเฉพาะช่วงที่เล่นทวิตเตอร์ใหม่ๆ ผมเหี้ยเต็มข้อเลย จะบอกว่าเปิดการ์ดรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ได้ แต่มันคือรู้เท่าไม่ถึงการณ์จริงๆ เคยเล่นแต่เฟซบุ๊กกับอินสตาแกรมก็ยังสนุกสนาน ไม่ได้หยาบคายมาก แต่พอเข้ามาในโลกทวิตเตอร์แล้วเห็นคนมาคอมเมนต์เราแบบหยาบ… “ไอ้สัตว์ แม่งหยาบได้เบอร์นี้เลยเหรอวะ นี่มันพื้นที่ของกูชัดๆ” (หัวเราะ)
หลังจากนั้นผมก็ใส่เต็มข้อเลย แจกอวัยวะแบบไม่มีการเซนเซอร์อะไรทั้งนั้น จนกระทั่งมีคนไปตั้งกระทู้ด่าในพันทิป ซึ่งผมบอกเลยนะว่าคอมเมนต์ในโลกโซเชียลฯ ผมอ่านหมดทุกอย่าง อันไหนไม่ดีก็พยายามนำมาปรับปรุงตัวเอง เพราะคิดว่าคนเหล่านี้คือกระจกที่สะท้อนตัวเรา ฉะนั้นก็ต้องเคารพในสิ่งที่เขาพิมพ์มาด้วย
อย่างผมไปเจอคอมเมนต์ของคุณแม่คนหนึ่ง เขาบอกว่า “เมื่อก่อนติดตามคุณโอ๊ตนะคะ ชอบในความตลก ความหยาบของเขาที่มีเส้นแบ่งอยู่ แต่ตอนหลังลูกที่อายุ 14 ขวบ เอาทวิตเตอร์ของคุณโอ๊ตมาให้ดูแล้วดิฉันหน้าชาเลยค่ะ ไม่คิดว่าคุณโอ๊ตจะกล้าพิมพ์คำหยาบคายแบบตรงๆ ลงในโซเชียลฯ ขนาดนี้” พออ่านจบผมหน้าชาเลยเหมือนกัน เฮ้ย เราสนุกเกินไปว่ะ สนุกจนไม่รับผิดชอบต่อสังคมเลย
แต่พอคิดแบบนี้ก็มีคนมาด่าอีกว่า “โอ้โห พี่โอ๊ต มึงทำแบบนี้แล้วยังจะมาห่วงเด็กอีกเหรอ” …เฮ้ย เราห่วงเขาจริงๆ นะ เราแค่ไม่รู้ว่ามันจะมีผลกับเด็กขนาดนี้
หลังจากนั้นผมย้อนกลับไปไล่ลบข้อความเก่าๆ ในทวิตเตอร์ที่หยาบคายออก แล้วต่อไปเวลาพิมพ์อะไร ผมจะพยายามเซนเซอร์คำหยาบ คือยังหยาบอยู่ แต่ไม่ให้หยาบแบบจะโจ่งแจ้งเหมือนเมื่อก่อน เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบในระดับหนึ่ง
โอเค ผมยอมรับว่ามันปรับได้ไม่มาก แต่อย่างน้อยก็อยากให้คนที่คอมเมนต์โดยเฉพาะคุณแม่ท่านนั้นได้รู้ว่า ผมพยายามปรับนะครับ ไม่ใช่ไม่รับฟังเสียงอะไรจากใครเลย
งั้นตอนนี้คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ศิลปินต้องรับผิดชอบต่อสังคมให้มากที่สุด
ทุกอย่างเลยครับ เมื่อเป็นศิลปินแล้ว มีคนมองเราเป็นไอดอล ทุกอย่างเราต้องรับผิดชอบ เห็นผมเป็นแบบนี้ผมก็ทำบุญนะ (หัวเราะ) พี่ป๊อบ (ปองกูล สืบซึ้ง) โทรมาให้ร้องเพลงงานการกุศล กริ๊งเดียวผมไปทันทีเลย เสื้อผ้าชุดไหนไปแบบนั้นเลย
ทุกครั้งเวลาเจอเด็กที่เขาชอบเรา มากอดเรา บอกว่า “ไอ้เหี้ย ผมโคตรชอบพี่เลย ไอ้สัตว์ เ-ดแม่” หรือเด็กอายุ 13-14 ที่เข้ามาพิมพ์ด่าหยาบคายตามโซเชียลฯ ก็จะมีคนบอกว่า “สงสารพี่โอ๊ตจังเลย ทำไมเล่นกับพี่โอ๊ตแรงจัง พี่เขาแก่รุ่นพ่อแล้วนะ ทำไมไปพิมพ์หยาบคายใส่เขาแบบนั้น”
ผมก็จะบอกคนเหล่านั้นว่าไม่เป็นไร ถ้านั่นเป็นพื้นที่ที่มึงสามารถหยาบคายใส่กูได้ มึงหยาบคายไปเถอะ แต่เมื่อไรก็ตามที่มึงเจอผู้ใหญ่ เจอคนที่มึงเคารพ หรืออยู่ในพื้นที่ที่หยาบคายไม่ได้ มึงอย่าทำ มึงต้องรู้จักกาลเทศะนะ
มีเรื่องอะไรอีกบ้างที่คนแบบคุณจะซีเรียสหรือให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ
เห็นเป็นแบบนี้ผมซีเรียสเรื่องงานมากเลยนะ ค่อนข้างจะเป็นเพอร์เฟกชันนิสต์เลยแหละ ถึงเวลาทำงานคือทำงานจริงๆ เช่น ถ้ารู้ว่าคืนนี้จะต้องร้องเพลง คืนก่อนหน้านั้นจะไม่กินเหล้า ไม่ปาร์ตี้เลย ผมจะเครียดอยู่กับสคริปต์ จะเตรียมตัวสำหรับการออนสเตจมากๆ เพราะอยากให้ทุกอย่างออกมาสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้
แม้กระทั่งตอนถ่าย Paloy’s Diary ผมก็ตั้งใจนะ ผมจะถามก่อนทุกครั้งว่า แขกรับเชิญเป็นใครวะ หยาบคายกับเขาได้เบอร์ไหน มีเรื่องอะไรที่น่าสนใจและควรจะเล่นอะไรกับเขาได้บ้าง อย่างน้อยต้องทำการบ้านก่อน แล้วก็จริงจังกับทุกงานที่ทำ ถ้ารับงานมาแล้วผมจะไม่ทำให้ผิดหวัง และไม่มีทางเบี้ยวงาน
หรืออย่างการถ่ายรูปกับแฟนคลับผมก็ซีเรียส คือหลังจากเสร็จงาน บางทีผู้จัดการเห็นผมเหนื่อยแล้ว เขาก็จะพยายามกันคนไม่ให้เข้ามาถ่ายรูปเยอะเกินไป แต่สำหรับผมคือไม่เป็นไร เพราะบางทีเขาอาจจะมีโอกาสเจอเราแค่ครั้งเดียวในชีวิต โดยเฉพาะคนต่างจังหวัด เพราะฉะนั้นไม่ว่าเหนื่อยขนาดไหน ผมก็จะถ่ายให้จนหมดแล้วค่อยขึ้นรถกลับ
…นอกจากนั้นคือเรื่องเพื่อน ผมเป็นคนรักเพื่อน รักคนรอบตัวมาก แล้วเมื่อไรก็ตามที่รู้ตัวว่ารักใครมากๆ แล้วบางทีถูกเขามองข้ามความรู้สึก เราก็จะเริ่มนอยด์ เพราะเป็นคนขี้น้อยใจมาก รักมากก็ให้มาก บางทีเลยคิดไปว่า “ไอ้เหี้ย กูรักมึง แล้วทำไมมึงทำกับกูอย่างนี้วะ”
รักเพื่อนถึงขนาดยอมทำทุกอย่างเพื่อเพื่อนได้เลยหรือเปล่า
ทุกอย่างผมมีทุกวันนี้ได้ก็เพราะเพื่อนทั้งนั้นเลยนะ พี่ป๋อง (กพล ทองพลับ) พี่แจ็คเล็ก (สุวินัย อ่อนสอาด) ที่เอาผมไปช่วยจัดรายการวิทยุ ไอ้อาร์ต (ดีเจอาร์ต-มารุต ชื่นชมบูรณ์), เป๊ก-เปรมณัช สุวรรณานนท์, เป๊ก-ผลิตโชค อายนบุตร, พี่ป๊อบ-ปองกูล สืบซึ้ง, พิท (พิชญ์ กาไชย), พลอย (พลอย หอวัง) คนรอบตัวเหล่านี้ทำให้รู้สึกว่าผมเป็นคนโชคดีที่เพื่อนรัก แล้วเราก็รักพวกเขาจริงๆ รักแบบที่อยากประสบความสำเร็จไปกับมัน
ผมคิดแบบนี้ตั้งแต่วันแรกที่ยังไม่มีชื่อเสียงจนมาถึงทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นผมจะไม่มีวันทิ้งเพื่อน และจะพยายามดึงทุกคนไปด้วยกัน ให้เป็นหมู่มวลที่ประสบความสำเร็จไปพร้อมกัน
คือเราไม่รู้ว่าปีหน้าเราจะยังดังแบบนี้อยู่หรือเปล่า คนอาจจะเบื่อปราโมทย์ ปาทานแล้วก็ได้
ฉะนั้นถ้าชีวิตยังอยู่ในกราฟแบบนี้ก็ต้องสู้ไปก่อน
มีเพื่อนประเภทที่ตอนแรกคิดว่านิสัยไม่น่าจะเข้ากันได้ แต่สุดท้ายมาสนิทกันได้บ้างไหม
ไอ้ภัทร์ (ภัทร์ ฉัตรบริรักษ์) น้องบอย ปกรณ์ ตอนแรกคิดว่าคนนี้น่าจะเข้าถึงยากเลยนะ แต่เสือกเป็นเพื่อนสนิทกัน เป็นแก๊งเดียวกันได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ความจริงผมมีเพื่อนแปลกๆ เต็มไปหมด เรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมของความแปลก
อย่างทีเจ (จิรายุทธ ผโลประการ) นี่ก็แปลก ติดผมฉิบหาย โทรมาหาทุกวัน ไลน์มาหาวันนึง 2-3 รอบ “พี่ถึงบ้านหรือยัง ผมจะไปหาพี่เนี่ย” ทีเจ เหงาอะไรขนาดนั้นวะ หาเมียไหม (หัวเราะ) อาเล็ก (ธีรเดช เมธาวรายุทธ) ก็เหมือนกัน ไลน์มาหาตลอด “พี่เมื่อไรจะเปิดบ้านอีกเนี่ย อยากกินเหล้า” หรือเต๋อ ฉันทวิชช์ ก็จะมาแนว “คุณชวนอาเล็กกินเหล้าแต่ไม่ชวนผม นี่ผมเสียใจนะ” รอบตัวผมมีแต่คนแบบนี้ คือเป็นไอ้พวกไม่น่าจะเคมีตรงกันได้ แต่เสือกสนิทกัน
เวลาสังสรรค์กับเพื่อน นอกจากความสนุก เฮฮา เรื่องพวกนี้ยังให้อะไรกับคุณได้อีก
ผมมองว่ามันเป็นคอมมูนิตี้นะ เรื่องพวกนี้ทำให้เวลาเราทำงานหรือทำอะไรอยู่ก็ตาม เราจะคิดถึงกันอยู่เสมอ อยู่เมืองไทย Know How แม่งไม่สำคัญเท่า Know Who นะครับ ผมเลยคิดว่าเป็นเรื่องดีที่เราจะสร้างเครือข่ายเพื่อนที่สนิทกันเอาไว้
อย่างถ้ามองย้อนไป 10 กว่าปีที่แล้ว เวลาเราเห็นแก๊งที่อยู่ด้วยกันแล้วสนุกมากๆ อย่าง ทาทา ยัง, มอส-ปฏิภาณ ปฐวีกานต์, พี่เจ-เจตริน วรรธนะสิน, พี่ใหม่ เจริญปุระ, พี่ติ๊นา-คริสติน่า อากีล่าร์ หรือรุ่นพี่แก๊ง 6-2-12 ที่โตมาด้วยกัน (อัลบั้มรวมศิลปินของแกรมมี่ที่โด่งดังมาก) ทุกวันนี้เวลาจัดคอนเสิร์ตคนก็ยังอยากไปดู เพราะเขาสนิทกัน อยู่ด้วยกันแล้วสนุก
ฉะนั้นผมก็คิดว่าอยากให้ยุคนี้เป็นยุคของพวกเราบ้าง พิชญ์, พลอย, โอ๊ต, เป๊ก ผลิต, เป๊ก เปรม, เป๊กซ์ Zeal (ปราชญ์ พงษ์ไชย), อาเล็ก, บอย ปกรณ์, ทีเจ, ป๊อบ, ว่าน (ธนกฤต พานิชวิทย์) ที่ผมคิดเอาเองว่าเป็น 6-2-12 ในยุคนี้
ผมจะพยายามบอกทุกคนว่า เราต้องรักกันนะ ต้องเกาะกลุ่มนี้ไว้แล้วโตไปด้วยกัน เราต้องทำผลงานดีๆ สนุกๆ ด้วยกันออกมาเยอะๆ ให้คนอยากมาดูพวกเรารวมตัวกันแบบนั้นให้ได้เมื่อเวลาผ่านไปอีก 10-20 ปี
ซึ่งกินการกินเหล้าช่วยให้คอมมูนิตี้นั้นแข็งแรงได้
ใช่ คือไม่ได้อยากเอามาเป็นข้ออ้างในการกินเหล้านะ เรารู้แหละว่ามันคืออบายมุข แต่คนก็กินเหล้ากันทั่วโลก เหล้าไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย มันแค่เป็นตัวที่อาจกระตุ้นให้เราไม่มีสติแล้วไปทำผิดกฎหมายได้ เพราะฉะนั้นถ้าเรากินแล้วอยู่ในเคหสถาน ไม่ใช่ว่าเมาแล้วออกไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ผมว่ามันก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องผิด แค่ต้องมีขอบเขตและมีความปลอดภัย และพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุดก็คือบ้านของเราเอง
อย่างบ้านผมเคยรับแขกมากสุดคือ 22 คน ตื่นมาบ้านพัง ต้นไม้พัง กระถางต้นไม้ข้างบนลงมาอยู่ข้างล่าง แกะกล่องถุงยางเอามาเป่าเล่น ลอยเกลื่อนเต็มไปหมด คิดในใจเลยว่าโชคดีมากที่แฟนไม่กลับมาตอนนั้น ไม่อย่างนั้นเขาต้องคิดแน่ๆ ว่าในบ้านเพิ่งมีปาร์ตี้มั่วเซ็กซ์ (หัวเราะ) อันนี้คือความเหี้ยของเพื่อน ความสนุกที่เกินขอบเขต แต่มันเกินอยู่ในพื้นที่ของเรา ซึ่งไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
เป็นคนสนุกสนานแบบนี้ มีเรื่องอะไรที่ทำให้คุณร้องไห้ได้บ้างไหม
ผมเป็นคนอ่อนไหวมาก แต่เป็นคนร้องไห้ยากมากเช่นกัน ชีวิตนี้ร้องไห้นับครั้งได้ เพราะเป็นคนเก็บความรู้สึกเก่ง เวลานอยด์อะไรก็จะไม่พูด ไม่แสดงออก
เวลามีปัญหาแบบนั้น ส่วนใหญ่คุณจัดการกับความรู้สึกนั้นอย่างไร
อยู่คนเดียวครับ นิ่งๆ เงียบๆ เวลาอยู่บ้านผมเหมือนตัวสลอตอ่ะ เฉยๆ ช้าๆ เปิดทีวี ล้างรูป เปิดคอมฯ ชีวิตช้าสัตว์ๆ เพราะรู้สึกว่าทุกครั้งที่ออกมาข้างนอก ชีวิตต้องเร็ว คิดเร็ว ทำเร็ว พูดเร็ว สนุกเร็ว โป๊ะๆๆๆ พอถึงบ้านปุ๊บเหมือนเข้าเซฟโหมด พักผ่อน พักสมอง พักความรู้สึกที่ใช้มาตลอด
แต่ช่วงนี้ได้ทำแบบนั้นน้อยมาก เพราะออกไปข้างนอกมันต้องสนุกตลอดเวลา กลายเป็นว่าไม่ได้สนุกแค่การทำงานแล้ว ออกไปเดินห้างยังต้องสนุกเลย เพราะคนทั่วไปคาดหวังว่าเจอเราแล้วต้องสนุก ต้องตลก ต้องหยาบ ฉะนั้นเราก็ต้องสนุกไปกับเขา ซึ่งไม่ได้ฝืนตัวเราด้วยนะ เต็มใจทำ แค่ว่าพออยู่บ้านเราจะนิ่งไปเลย
ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาอยู่กับแฟน แฟนผมจะเป็นคนพูดมากกว่า ทั้งที่ปกติแฟนเป็นคนพูดน้อยด้วยนะ เพราะเราขี้เกียจพูดแล้ว โชคดีที่แฟนผมเข้าใจ เพราะเขาเห็นตลอดอยู่แล้วว่าเวลาออกไปทำงานผมเป็นคนเต็มที่ เวลาไปเจอเพื่อนก็สนุกเต็มที่ เวลาอยู่ด้วยกันผมก็เลยจะเงียบหน่อย
นึกไม่ออกเหมือนกันนะว่าคนห่ามๆ เวลาอยู่กับเพื่อน เวลาอยู่กับแฟนแล้วนิ่งจะเป็นยังไง
นิ่งเลยครับ แต่ผมจะดูแลแฟนทุกอย่างเท่าที่ตัวเองจะดูแลได้อยู่เสมอ เพราะผมรู้สึกว่าถ้าวันนี้เราดูแลเขาไม่ได้ ในอนาคตเราจะดูแลเขาได้ยังไง ผมจะพยายามทำให้เห็นว่าเรารับผิดชอบชีวิตเขาได้ เพื่อที่เวลาเขาไปพูดกับพ่อแม่ หรือเวลาผมจะไปขอแต่งงาน เขาจะได้บอกพ่อแม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้ดูแลได้จริงๆ
เป็นคนโรแมนติกขนาดไหน หรือไม่ก็ขอสักเรื่องโรแมนติกที่คุณเคยทำให้แฟน
ความโรแมนติกของผมคือการใส่ใจว่ะ หลายคนไม่รู้ว่าผมคบกับแฟนมาเกือบ 10 ปี เมื่อก่อนแฟนผมเรียนแถวกล้วยน้ำไท บ้านผมอยู่ดอนเมือง บ้านแฟนอยู่พระประแดง ผมขับรถจากดอนเมืองไปรับที่กล้วยน้ำไท แล้วขับไปส่งพระประแดง จากนั้นขับรถกลับดอนเมือง ตลอด 4 ปีที่แฟนเรียน ถ้ามีโอกาสและไม่ติดงานผมทำตลอด
ตอนหลังพอเรียนจบแฟนเป็นแอร์โฮสเตส ผมก็ออกจากดอนเมืองไปรับแล้วไปส่งแฟนที่พระประแดง ขับไปส่งที่สุวรรณภูมิแล้วกลับบ้านที่ดอนเมือง วนอยู่อย่างนี้ตลอด เหมือนขับรถเก็บอาร์ซีเลย (หัวเราะ) มันอาจไม่ใช่เรื่องโรแมนติกมาก แต่ก็อยากให้รู้นะว่า ไม่ว่าเหนื่อยขนาดไหนเราก็อยากขับไปส่งเขา อยากให้เขาเจอเราเป็นคนแรกและคนสุดท้ายเวลากลับมา
ทุกวันนี้ล่ะ กิจวัตรประจำวันของโอ๊ต ปราโมทย์ เป็นยังไงบ้าง
ทุกวันนี้เละมาก เละแบบ ไอ้เหี้ย ทำงานเหมือนคนเป็นหนี้สิบล้าน เหนื่อยสัตว์ (เน้นเสียง) ทุกวันนี้ผมไม่ได้ขึ้นไปนอนในห้องมา 2 เดือนแล้ว ร่วงบนโซฟาตลอด ตื่นขึ้นมา อ้าว ทำงานต่อ ชีวิตเหมือนหุ่นยนต์เลยครับ
กิจวัตรทุกเช้าคือพี่คนขับรถจะมาปลุกให้ผมลุกขึ้นอาบน้ำไปทำงาน พอขึ้นรถก็บอกพี่เขาว่าต้องไปทำงานที่ไหน จากนั้นหลับ พอถึงที่หมายก็ตื่นมาทำงาน ทำเสร็จขึ้นรถ บอกให้ไปส่งที่ใหม่ จากนั้นหลับ แล้วตื่นขึ้นมาทำงาน พอทำงานเสร็จกลับถึงบ้าน บางทีพี่เขาก็จะซื้อข้าวมาให้กิน อาจจะเปิดทีวี เปิดเกมเล่น บางทีจอเกมยังโหลดไม่เสร็จ จอยบังคับเกมยังคามืออยู่แต่ผมหลับไปแล้วก็มี
เคยคิดไหมว่าสักวันพลังงานตรงนี้มันจะหมดลงไป
หมดนานแล้ว (หัวเราะ) คิดอยู่ตลอดว่ากูต้องทำงานหนักขนาดนี้เลยเหรอวะ แต่สิ่งที่ทำให้ผมยังมีพลังทำได้อยู่คือ ผมพยายามเตือนตัวเองตลอดว่ามึงลองมองย้อนกลับไปตลอด 10 ปีที่มึงอยู่ในวงการมาสิ ก็นี่ไม่ใช่เหรอคือจุดที่มึงอยากมาให้ถึง เพราะฉะนั้นทำไปเถอะ
ใครจะคาดคิดล่ะว่า อยู่ๆ วันหนึ่งจะมีคนมานั่งเสพข่าวเรื่องกูอยากกินขี้ปู ไปรยาเยอะขนาดนี้ คือเราไม่รู้ว่าปีหน้าเราจะยังดังแบบนี้อยู่หรือเปล่า คนอาจจะเบื่อปราโมทย์ ปาทานแล้วก็ได้ ฉะนั้นถ้าชีวิตยังอยู่ในกราฟแบบนี้ก็ต้องสู้ไปก่อน อย่าเพิ่งหยุด
มีงานแบบไหนบ้างไหมที่คุณจะไม่ยอมรับทำโดยเด็ดขาด
งานแต่งงาน แต่ตอนนี้มีไปบ้างแล้วนะ คืองานแต่งมันไม่สนุกสำหรับนักร้องนะ บ่าวสาวเขาอาจจะชอบเราก็จริง แต่คนในงานอาม่า อากง อาแปะเขาไม่ได้ชอบเราไง พี่ตูน (อาทิวราห์ คงมาลัย) ยังเคยบอกว่าขนาด Bodyslam ก็ยังแพ้เป็ดย่างนะครับ ต่อให้พี่ตูนปีนเสาอยู่ แต่เมื่อไรที่เป็ดย่างลง แขกในงานก็จะหันไปมองเป็ดย่างมากกว่าอยู่ดี ไม่ใช่ไม่อยากรับนะ ผมอยากรับแต่มันทรมานนักร้องเหมือนกันนะ แล้วพอเป็นงานมงคลจะพูดหยาบคายมากก็ไม่ได้ อยู่ดีๆ จะขึ้นไปลั่นคำหยาบอาจจะกลายเป็นยืนงงในดงตีนได้ง่าย (หัวเราะ) งานแต่งเลยเป็นงานที่มีข้อจำกัดหลายอย่างที่ผมยังก้าวผ่านไปไม่ได้
แล้วงานที่จะไม่ปฏิเสธแน่ๆ ล่ะ
งานให้ความรู้ครับ งานเป็นวิทยากร พูดให้นักศึกษาฟัง ถ้าว่างผมไม่เคยปฏิเสธเลย ต่อให้เหนื่อยขนาดไหนก็จะไป มีครั้งหนึ่งผมบินไปอังกฤษตอน 6 โมงเย็น เที่ยงผมยังเป็นวิทยากรที่มหาวิทยาลัยรังสิตอยู่เลย
ผมไม่ได้มีความรู้อะไรไปพูดมากนักหรอก แต่ผมอยากแบ่งปันแอตติจูดดีๆ บางอย่างให้คนอื่น ผมไม่ใช่คนเก่งเว้ย แต่ผมชอบตัวเองในพาร์ตที่เรามีแล้วอยากแบ่งปัน แอตติจูดที่รักเพื่อน แอตติจูดที่พยายามบอกทุกคนว่าตอนนี้วงการเพลงเป็นยังไง ศิลปินทรมานแค่ไหน และควรจะต้องทำอย่างไรบ้าง ถ้ามีพื้นที่ให้พูดตรงนี้ผมจะไม่ปฏิเสธเลย แล้วไม่ต้องให้เงินผมด้วย
- เพื่อนในกลุ่มที่กินเหล้าแล้วเมาเกินขอบเขตที่สุดคือ ปั้นจั่น (ปรมะ อิ่มอโนทัย) เมาจนโอ๊ตต้องบอกว่าถ้าอยากเห็น Prototype ของคนบ้าก็ให้มาดูปั้นจั่นไว้เป็นตัวอย่าง
- เป๊กซ์ วง Zeal คือคนที่ดื่มแล้ว ‘คอแข็ง’ ที่สุด เรียกว่าเมายาก จนได้ฉายาว่าท่านอำมาตย์ ตับเหล็ก เพราะเขาสามารถเริ่มกินเหล้าตั้งแต่ 3 ทุ่มแบบไม่หยุดไปจนถึง 4 โมงเย็นของอีกวัน ส่วนตำแหน่งคออ่อนที่สุดตกเป็นของอาเล็ก สายฟุบที่มาเร็วเคลมเร็ว รีบกินรีบหลับ โดยมีโซฟาที่บ้านของโอ๊ตเป็นมุมประจำ
- โอ๊ตเป็นคนกลัวแมงมุมมาก ชนิดที่ว่าไม่เข้าใจว่าโลกจะสร้างสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ขึ้นมาทำไม โอ๊ตกลัวแมงมุมถึงขนาดที่ถ้ามีห้องน้ำห้องเดียวแล้วมีแมงมุมอยู่ เขายอมอึแตกตรงนั้นดีกว่าเข้าไปอยู่ในห้องน้ำร่วมกับแมงมุม
- โอ๊ตเป็นคนชอบถ่ายรูปมาก ล่าสุดเขาอัพเกรดความชอบในการถ่ายภาพฟิล์มด้วยการสร้างห้องมืดเอาไว้ล้างฟิล์มเองที่บ้านแล้ว