ถ้าลองคลิกเข้าไปในยูทูบ เชื่อว่าเกิน 70 เปอร์เซ็นต์ จะต้องเคยเห็นคลิปวิดีโอทำนอง ‘รวมมุกตลก’ หรือ ‘โคตรฮา’ ของ โอ๊ต-ปราโมทย์ ปาทาน ปะปนอยู่ด้วยแน่ๆ แถมเขาก็ยอมรับด้วยว่า เพราะความตลกนี่แหละที่ทำให้ตัวเองมาถึงจุดนี้ จุดที่ผู้คนยอมรับในตัวตนบนความตลก กวนตีน หยาบคาย ปากหมา ลามก ฯลฯ แต่น่ารักจนใครก็เกลียดไม่ลง! ซึ่งไม่ใช่ทุกคนแน่ๆ ที่ทำได้
ความจริงมันน่าคิดเหมือนกันนะ ว่าอะไรหล่อหลอมให้โอ๊ตเป็น ‘โอ๊ต’ แบบในวันนี้ พ่อแม่เลี้ยงดูมายังไง ให้กินข้าวกับอะไร กินขนมถุงเยอะไปไหม กินเครื่องปรุงมาม่าเยอะไปหรือเปล่า แล้วสมัยประถม มัธยม โอ๊ตเป็นคนยังไง เรียนได้เรื่องบ้างไหม เคยต่อยกับใครหรือเปล่า เชื่อเถอะว่าหลายเรื่องหลายราวที่หล่อหลอมเขามามันทั้งสนุก และบางเรื่องก็เซอร์ไพรส์อย่างคาดไม่ถึง โดยเฉพาะคุณแม่ที่เลี้ยงเขามาแบบดุมาก!
A Young Life: เด็กชายปราโมทย์ ปาทาน เติบโตมาในครอบครัวที่เข้มงวด
ผมโตมาในครอบครัวที่เข้มงวดมากครับ แม่ผมดุมาก ดุแบบเลเวล 10 พี่ชายผมเคยหนีไปเที่ยวผับ แม่ผมถือไม้หน้าสามเดินเข้าไปตามถึงในผับเลยนะ ผมเคยโดนแม่ตีมาแล้วทั้งเข็มขัด ดาบ กระบี่กระบอง ไม้มะยม ก้านเชอร์รี (หัวเราะ) อันนี้ล้อเล่น เอาเป็นว่าอะไรที่ใช้ตีลูกได้ ผมโดนมาหมดแล้ว
ตอนเด็กๆ อาจจะมีสงสัยบ้างว่า ทำไมแม่ต้องดุขนาดนี้ แต่พอโตขึ้นถึงเข้าใจว่าแม่ต้องเลี้ยงลูกผู้ชาย 4 คนด้วยตัวคนเดียว เขาเลยต้องคุมให้อยู่ ผมคิดเลยนะว่า ถ้าแกไม่ดุขนาดนั้น ผมอาจจะเสียคนไปแล้วก็ได้ เพราะผมเองก็เติบโตมาในสังคมเทาๆ เพื่อนก็ติดยา บางคนสำมะเลเทเมา ดีเหมือนกันที่แม่คอยดุให้เรากลัว จนทุกวันนี้พี่น้อง 4 คนก็ยังกลัวแม่อยู่เลยนะครับ เราไม่กล้าดื้อกันหรอก ถ้าแม่ดุก็ต้องฟัง อย่างเช่น เวลากินข้าวผมไม่เคยเคี้ยวข้าวอ้าปากเลยนะ นั่งๆ อยู่ถ้ามีเสียงแจ๊บๆ นี่โดนตบปากทันที ห้ามเท้าโต๊ะ ห้ามเอาช้อนส้อมเคาะกัน จนติดเป็นนิสัยถึงตอนนี้ เห็นผมหยาบคายแบบนี้ แต่เวลากินข้าวผมสุภาพมากนะครับ (หัวเราะ)
คุณยายผมเคยอยู่ในวังมาก่อน เหมือนเป็นคนดูแลคุณหญิงในวัง แล้วออกมาแต่งงานกับตา คุณยายเลยจะเคร่งเรื่องมารยาทแล้วก็สอนแม่ แม่ก็เอามาสอนพวกเรา รวมทั้งการออกไปเจอผู้ใหญ่ อย่างการไหว้ ถ้าเดินออกมาจากบ้านกับแม่ แม้แต่วินมอเตอร์ไซค์หน้าบ้านผมก็ต้องไหว้นะ ขอแค่เขาแก่กว่า ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรก็ต้องไหว้เขา
คุณจำได้ไหมว่าโดนแม่ตีครั้งสุดท้ายเมื่อไร
อย่าเรียกว่าจำ เรียกว่าฝังใจดีกว่าครับ ช่วงมัธยมตอนแม่เจอบุหรี่อยู่ในห้อง แต่บุหรี่ซองนั้นไม่ใช่ของผมนะครับ แต่เป็นของญาติที่นอนห้องเดียวกัน เขาเอาบุหรี่ไปซ่อนไว้ในลิ้นชักตู้เสื้อผ้า แม่คงมาจัดเสื้อผ้าแล้วเจอบุหรี่ ก็เลยฉิบหาย วันนั้นผมกลับมาถึงบ้าน เห็นที่นอนกับเสื้อผ้าวางกองอยู่หน้าบ้าน ตอนแรกยังคิดในใจ สงสัยแม่เอาที่นอนมาตากแดด แต่ทำไมวันนี้เอาออกมาเยอะจังวะ (หัวเราะ) พอเดินเข้าบ้านเท่านั้นแหละ แม่ถือไม้รอเลย แล้วตีป้าบๆๆ แม่บอกมึงสูบบุหรี่ใช่ไหม ผมบอกกลับไปว่าไม่ได้สูบ พูดยังไงแม่ก็ไม่ฟัง ผมเลยเดินออกจากบ้านไปนอนบ้านเพื่อน
ผ่านไป วันรุ่งขึ้นแม่ก็โทรมา บอกว่าถ้าเป็นลูกผู้ชายแล้วไม่ได้สูบจริงๆ ให้กลับบ้านมาเคลียร์กัน ผมกลับบ้านมาก็ยังโดนด่าอยู่ แล้วอึดอัดมาก เพราะผมเป็นคนที่ถ้าไม่ได้ทำผิดจะไม่ยอมเด็ดขาด นั่งคุยกันแล้วผมก็ร้องไห้ นั่นคือครั้งแรกเลยมั้งที่นั่งร้องไห้ต่อหน้าแม่แบบจริงจัง เรามีคำถามว่าทำไมพูดอะไรแม่ถึงไม่เชื่อ บอกว่าไม่ได้สูบก็คือไม่ได้สูบ เพราะถ้าสูบจริงๆ เราจะยอมรับ เพราะฉะนั้นฟังไว้เลยนะ ผมสัญญาตรงนี้เลยว่าชีวิตนี้ผมจะไม่สูบบุหรี่เลยสักมวนเดียว นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้จนถึงทุกวันนี้ ผมไม่เคยสูบบุหรี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว
ถ้าคุณแม่ไม่เจอบุหรี่ในวันนั้น คิดว่ามีโอกาสจะสูบบุหรี่เองไหม
มีสิทธิ์ เพราะเพื่อนทุกคนแม่งสูบกันหมด ทุกวันนี้เพื่อนยังงงเลยนะ เจอใครก็ยื่นบุหรี่ให้ผมหมด (หัวเราะ) พอบอกว่าไม่สูบก็ไม่ค่อยเชื่อ บางคนบอกว่าไม่สูบบุหรี่หรือจะเอากัญชาเลยไหมพี่ หรือดมๆ อะไรหน่อยไหม เดี๋ยวๆ ไม่ต้องเอาอะไรมาให้กู กูไม่เอาอะไรเลย แค่กินเหล้าอย่างเดียวชีวิตกูก็จะฉิบหายอยู่แล้วไอ้ห่า (หัวเราะ)
เติบโตมาแบบมีคุณแม่ที่เข้มงวดขนาดนี้ เด็กชายปราโมทย์ถือว่าเป็นเด็กดื้ออยู่ไหมในสมัยเรียน
ดื้อมากครับ ผมเคยมีเรื่องกับคนที่โรงเรียน โดนตำรวจจับไปที่สถานีตำรวจ วันนั้นเป็นวันเดียวกับที่คุณยายเสียพอดี พี่ชายมาหาที่ สน. แล้วแม่โทรมาบอกว่าถ้าผิดจริงให้ติดคุกไปเลย ไม่ต้องไปช่วยมัน คิดในใจเลย เรียบร้อยแล้วกู ติดคุกแน่ๆ (หัวเราะ) โชคดีว่าสุดท้ายเคลียร์กันได้ เพราะเป็นข้อหาทะเลาะวิวาทธรรมดา เสียค่าปรับแล้วก็จบกันไป
หรือเวลาไปโรงเรียนผมก็ไม่เรียน ชอบทำกิจกรรม ผมโดนเชิญผู้ปกครองเป็นประจำ ก็เลยมักจะจ้างวินมอเตอร์ไซค์หรือให้คุณน้าไปแทน ให้แม่ไปไม่ได้เด็ดขาด
Life Balance: High School Boy
เฮ้ย เห็นในรายการทีวีหรือตามโซเชียลฯ แล้วดูผมเป็นคนเหี้ย แต่เวลาอยู่กับแม่หรือผู้ใหญ่ที่อายุเยอะกว่าผมเรียบร้อยนะ
ผมเป็นคนมีสัมมาคารวะมากเลย พูดครับทุกคำ ถ้าเห็นผมอยู่กับแม่ทุกคนจะช็อกว่าทำไมมึงเรียบร้อยขนาดนี้วะ นั่นคือส่วนที่ถูกสั่งสอนมาให้เรียบร้อย ให้มีสัมมาคารวะ ให้รู้จักกาลเทศะเวลาอยู่กับผู้ใหญ่ แต่พาร์ตอยู่กับเพื่อนมันก็คือเล่นกับเพื่อน มันคือตัวตนของผมอีกอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง
ผมมองว่ามันคือการจัดบาลานซ์ของชีวิตว่าช่วงไหนควรจะสนุก ช่วงไหนควรเรียบร้อย การที่โดนสอนมาทั้ง 2 ลักษณะ มันคือเรื่องดีที่เราสามารถนำมาผสมกันให้พอดีได้ พูดตามเนื้อผ้า สุดโต่งมากไปก็ไม่ดี เรียบร้อยมากไปชีวิตก็จืดชืดฉิบหาย เราต้องหาจุดที่ผสมกันแล้วพอดี มีความเหมาะสม
สมุดพกของเด็กชายปราโมทย์เป็นยังไงบ้าง
เอาเรื่องนี้ด้วยเหรอ (หัวเราะ) สมุดพกตอนประถมสวยงามมาก ไม่อยากคุยเลยว่าผมเป็นเด็กเรียนเก่งมากนะ ตอนประถมไม่เคยสอบได้ต่ำกว่าที่ 3 เลย ของเล่นเต็มบ้าน เพราะคุยกับแม่ไว้ว่าถ้าสอบได้ที่ 1, 2, 3 จะได้ของเล่น แต่พอเรียนมัธยมปุ๊บเละเทะ ติดเพื่อนเลย เกรดเฉลี่ยดีที่สุดในชีวิตคือ 2.8 ต่ำสุดคือ 0.97 เรียนจนจบ ม.6 เพื่อนทุกคนกำลังจะรับประกาศนียบัตร ผมยังต้องนั่งตัดสติกเกอร์รูปผู้ชาย-ผู้หญิงไปติดหน้าห้องน้ำเพื่อทำคะแนนกิจกรรมส่งอาจารย์อยู่เลย (หัวเราะ)
สอบตกบ่อยถึงขนาดอาจารย์เดินมาบอกว่า ปราโมทย์ อาจารย์ขอล่ะ แก้เกรดวิชาของอาจารย์หน่อยนะ ทำอะไรส่งมาก็ได้ ให้มึงไปๆ จากกูสักทีเถอะ หรือบางวิชาอาจารย์ก็จะบอกว่า ปราโมทย์อาจารย์ขอนะ อย่าขึ้นไปเรียนเลย อยู่ข้างล่างเถอะ อาจารย์จะไม่ให้เธอตก เพราะเธอเข้าเรียนแล้วเพื่อนไม่เคยได้เรียนเลย ลงไปเล่นกีตาร์ข้างล่างดีกว่า
ที่บอกว่าติดเพื่อนนี่คือติดขนาดไหนครับ
เพื่อนเคยมานอนบ้านนาน 3 เดือน ค่าขนมแชร์กับผมคนละครึ่ง บางวันมานอนค้างกัน 3-4 คน เล่นเกมฟุตบอล วินนิง อีเลฟเวนกัน เพราะบ้านผมใกล้โรงเรียนมาก เดินประมาณ 5 นาทีก็ถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประจำคือ ทุกคนตื่นมาแล้วใส่เสื้อที่ปักชื่อปราโมทย์หมดเลย เพราะมันขี้เกียจซัก ก็ใส่เสื้อใหม่ของผมแทน พอเดินเข้าโรงเรียนพร้อมกัน อาจารย์จะแซวว่า เป็นปราโมทย์กันหมดอย่างนี้แล้วจะตีใครถูก (หัวเราะ) โชคดีที่แม่ไม่เคยว่าเรื่องเพื่อนเลย ให้เพื่อนมานอนบ้านได้ แต่อย่าไปนอนบ้านเพื่อน เพราะมันดูไกลหูไกลตาแค่นั้น
กิจกรรมที่ทำบ่อยที่สุดในช่วงนั้นคืออะไร
ผมเป็นคนชอบทำกิจกรรมมาก แสดงละคร เป็นนักร้องให้โรงเรียน เป็นประธานสี เป็นนักกีฬาโรงเรียนไปแข่งระดับเขต ฯลฯ คิดว่าทำมาครบทุกอย่าง ไม่ทำอยู่อย่างเดียวคือเรียนหนังสือ (หัวเราะ) ต่อยตีนี่ก็ทำเป็นเรื่องปกติ เป็นเด็กเหี้ยเต็มตัวเลยครับ พูดจริงๆ เลยว่าถ้ามีคนเดินมาบอกว่า ‘เด็กเหี้ย’ ต่อหน้านี่ผมไม่โกรธเลย
พอได้ทำกิจกรรมมากขึ้น ผมเริ่มมีเพื่อนมากขึ้น พอมีเพื่อนมากขึ้นก็รู้สึกว่าอยากทำกิจกรรมมากขึ้นไปอีก เห็นคนงานพม่าที่บ้านเล่นกีตาร์ได้ก็อยากเล่นบ้าง ขอแม่ซื้อกีตาร์มาหัดเล่น แล้วก็เอากีตาร์ไปโรงเรียนทุกวัน ไม่มีวันไหนไม่เอาไป กระเป๋านักเรียนก็ไม่พก พกสมุดเล่มเดียวแล้วเขียนหน้าสมุดว่า ‘ปราโมทย์ ปาทาน วิชารวม’ แบ่งเซกชันเอาไว้ว่าช่วงไหนเป็นวิชาภาษาไทย คณิต สังคม อังกฤษ อะไรก็ว่าไป เวลาส่งงานก็เปิดหน้านั้นไว้แล้วบอกว่า หน้านี้วิชาภาษาไทยครับอาจารย์ (หัวเราะ)
เริ่มชกต่อยกับคนอื่นครั้งแรกตั้งแต่เมื่อไร
ประมาณ ม.3 มีเรื่องกับเพื่อนชั้นเดียวกันแต่คนละห้อง ยืนฉี่อยู่ข้างกัน แล้วแจกอวัยวะกันไปมา จากนั้นก็นัดชกกันหลังโรงเรียน แต่ละฝ่ายพาเพื่อนมาสิบกว่าคน ยืนล้อมวงกัน แล้วเรากับคนที่มีเรื่องก็เดินออกมาต่อยกันเหมือนในหนังฮ่องกงเรื่อง กู๋หว่าไจ๋ (Young and Dangerous) ตอนนั้นคิดว่าเท่ แต่ตอนนี้คิดว่าอะไรกันก็ไม่รู้ (หัวเราะ)
กิจกรรมที่คุณคิดว่าสนุกที่สุดในช่วงมัธยม
ช่วงมัธยมปลายที่เริ่มประกวดดนตรีคือสนุกที่สุดแล้ว ช่วงที่กลับบ้านดึกเพราะอยู่ห้องซ้อมกับเพื่อน เพราะได้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งประกวดดนตรี ตอน ม.6 มีรุ่นพี่ที่จบไปแล้วชวนให้ไปแข่งดนตรีระดับอุดมศึกษา ผมเป็นเด็กมัธยมคนเดียวที่เข้าไปแข่งกับเด็กมหาวิทยาลัย จำได้เลยว่าก่อนไปแข่ง ผมแข่งฟุตบอลอยู่ที่โรงเรียนแล้วเส้นเอ็นข้อเท้าฉีก ต้องขึ้นไปร้องเพลง พลังแห่งรัก (หิน เหล็ก ไฟ) เนื้อเพลงมันว่า ‘พลังแห่งรัก ใคร่ มันมีพลัง บัญชาให้คุณทำอะไรได้ทุกๆ อย่าง’ ซึ่งโคตรร็อก ผมถือไม้เท้าคอยประคอง ที่เท้าก็เข้าเฝือกสีชมพูสะท้อนแสง กลับไปคิดถึงตอนนั้นแล้วตลกฉิบหาย ทำไปได้ยังไงวะ (หัวเราะ)
คุณแม่ดุขนาดนั้นแล้วเขาโอเคเหรอ กับการที่ลูกชายจะมาเป็นนักดนตรี
คุณแม่ไม่ห้ามครับ แต่ก็ไม่สนับสนุนเลย อย่างที่บอกว่าที่บ้านมีลูกชาย 4 คน ส่วนแม่ทำธุรกิจส่วนตัวเยอะ เขาอยากให้ลูกไปช่วย ผมยังโชคดีที่มีพี่ชาย 2 คนคอยช่วยงานแม่ ถ้าไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีโอกาสมาร้องเพลง
เชื่อไหมว่า พ่อกับแม่ไม่เคยไปดูผมประกวดร้องเพลงเลยสักครั้ง ครั้งแรกที่ไปคือตอนผมอายุ 23 ปี ตลกเหมือนกันนะ ต้องผ่านไปตั้ง 23 ปี เป็นงานประกวดชิงแชมป์ประเทศไทย (การประกวดวงดนตรีแจ๊ซ 98.5 Breeze FM-UBC Jazz Challenge 2006) ซึ่งวงดนตรีของพวกผม (RSCM Band) ได้แชมป์ ตอนเขาประกาศว่าทีมที่ได้รางวัลชนะเลิศคือตัวแทนจากมหาวิทยาลัยรังสิต แล้วผมวิ่งขึ้นไปรับถ้วย ระหว่างนั้นหันลงมามอง ผมเห็นแม่นั่งร้องไห้ปาดน้ำตาอยู่ข้างล่าง หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยได้ยินแม่ว่าเรื่องการร้องเพลงอีกเลย
การยอมรับของคุณแม่มีส่วนให้ตัดสินใจทำอาชีพนักร้องอย่างจริงจังตั้งแต่ตอนนั้นเลยหรือเปล่า
ไม่เกี่ยวครับ ที่แม่ยอมรับคือความภูมิใจส่วนตัว แต่ที่ผมอยากเป็นนักร้องเพราะรู้สึกว่าตัวเองโง่ เรียนเหี้ยอะไรไม่ได้สักอย่าง แม่ส่งไปเรียนต่างประเทศก็หนีกลับ ผมไม่อยากทำอะไรที่โดนคนอื่นบังคับ อยากทำอะไรที่รู้สึกว่ามีอิสระ อย่างการได้ร้องเพลง
ตอนแรกผมก็ไม่ใช่นักร้องด้วยนะ เป็นมือกีตาร์ เริ่มร้องเพลงจริงจังตอน ม.6 ซึ่งถือว่าช้ามาก เพราะเด็กสมัยนี้อายุ 4 ขวบเขาก็เริ่มร้องกันแล้ว เพราะฉะนั้นผมร้องเพลงเพราะผมชอบแค่นั้นเลยจริงๆ
ทุกวันนี้ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองร้องเพลงเก่ง มีคนร้องเพลงเก่งกว่าผมอีกเยอะ ผมแค่โชคดีที่รู้จักวิธีเอาตัวรอด รู้ว่าทำยังไงให้คนสนุก ทำยังไงให้คนตลกไปกับเราได้ หรือทำโชว์ยังไงออกมาแล้วให้คนชอบ ซึ่งเรื่องพวกนี้ก็มาจากความดื้อ ความซน ความห่าม ความสนุกเวลาอยู่กับเพื่อนๆ แล้วนั่งสังเกตคาแรกเตอร์ของคนโน้นคนนี้ คนไหนทำอะไรแล้วตลก ก็เอามาวิเคราะห์ว่าเขาตลกเพราะอะไร
ทุกอย่างที่ผ่านมาทำให้ผมเป็นคนมีไหวพริบ คิดมุกตลกได้เร็ว พูดได้เลยว่ามันถูกบ่มมาจากสมัยมัธยมกับเพื่อนที่อยู่กลุ่มเดียวกันล้วนๆ เลย
นอกจากไหวพริบแล้ว การหนีเรียน เกเร ชกต่อย ในช่วงมัธยมให้อะไรกับคุณอีก
อย่างน้อยผมก็บอกตัวเองได้ว่า มึงเก่งมากแล้วที่รอดมาได้โดยไม่สูบบุหรี่ ไม่ติดยา ไม่ติดคุกติดตาราง ไม่เกเรไปมากกว่านี้ ถึงแม้ทุกอย่างที่ทำมันคือเรื่องไม่ดี แต่ผมมองเป็นเรื่องบวกนะ วันหนึ่งถ้ามีลูกจะได้สอนลูกได้ เพราะผมผ่านชีวิตมาในสังคม ทุกรูปแบบ ตั้งแต่ระดับจนสุด ระดับกลาง ไปจนถึงรวยที่สุด ซึ่งผมอยู่กับทุกสังคมได้โดยที่ไม่รู้สึกเคอะเขิน ทุกสงกรานต์ผมจะกลับไปหาเพื่อสมัยมัธยมที่บ้านอยู่สลัมติดชายคลองเลย ไปนั่งล้อมวงกินเหล้าหงษ์ทอง เหล้าที่กินมาตลอดตั้งแต่เด็กๆ พูดคุยอัพเดตกัน จากนั้นก็กลับมาใช้ชีวิตแบบคนระดับกลาง แล้วพอออกไปทำงานก็ต้องไปอยู่ในสังคมของคนที่รวยมาก ซึ่งทำให้รู้ว่าเราปรับตัวเก่ง และควรวางโพซิชันของตัวเองในแต่ละสังคมยังไง
ชีวิตผมอาจจะดูห่ามมากนะ แต่มันก็มีข้อดีของมันอยู่ เช่น ถ้าสัญญาอะไรกับตัวเองไว้แล้วผมจะไม่ผิดสัญญาเด็ดขาด สูบบุหรี่ ยาเสพติด ผมยืนยันว่าไม่เคยเลย เพราะผมรู้ตัวเองว่าถ้าติดอะไรแล้วจะเลิกไม่ได้ อย่างทุกวันนี้ผมเป็นคนติดเกมมาก ถ้ามีเวลาว่างแค่นิดเดียว ขอให้ได้เปิดเครื่องเล่นสักหน่อยก็ยังดี เพราะฉะนั้นถ้าติดยาเสพติดนะ พูดเลยว่ามีติดตัวตลอด แล้วผมเป็นคนชอบเอ็นเตอร์เทนเพื่อน ต้องคอยป้อนเพื่อนตลอด ฉะนั้นกูเป็นเอเจนต์แน่ๆ คงไม่ได้เป็นนักร้องแบบนี้หรอก
นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดของผม คือการเคารพตัวเอง ก็เลยรอดมาถึงทุกวันนี้ ไม่อย่างนั้นอาจจะหนักกว่านี้ก็ได้
นอกจากบุหรี่กับยาเสพติดมีอะไรอีกไหมที่สัญญากับตัวเองเอาไว้แล้วต้องทำให้ได้
ผมบอกกับตัวเองว่าจะทำทุกอย่างที่ตัวเองทำได้ให้ดีที่สุดเสมอ ไม่ว่าจะได้รับผิดชอบเรื่องอะไรก็ตาม ผมอยากรู้ว่าขีดจำกัดในชีวิตหนึ่งของคนเราไปได้แค่ไหน หรือจุดที่สูงที่สุด เราทำอะไรได้บ้าง เราประสบความสำเร็จได้แค่ไหน เพราะฉะนั้นทุกวันนี้มีงานอะไรผมทำหมด แล้วก็จะทำให้ดี ปีนี้เป็นพระเอกหนัง จัดรายการวิทยุ พิธีกร นักร้อง ฯลฯ ผมทำทุกอย่างในวงการบันเทิงแทบจะหมดแล้ว ถามว่าเหนื่อยไหม บอกเลยว่าเหนื่อยมาก แต่ก็อยากวัดพลังของตัวเอง
วัยเด็กนี่แหละที่หล่อหลอมให้เราเป็นเรา โอ๊ต ปราโมทย์ ก็เช่นกัน หลังจากเรียนรู้เรื่องราวในวัยเรียนสุดห้าวแล้ว ครั้งหน้า THE STANDARD จะพาไปรู้จักตัวตนของเขาให้ลึกขึ้นไปอีก ในวันที่ไอ้นักร้องร่างอ้วน จอมกวนตีน เริ่มก้าวเท้าเข้าสู่วงการบันเทิงแบบเต็มตัว
- กลุ่มเพื่อนสนิทสมัยมัธยมของโอ๊ตมี 10 กว่าคน ชื่อว่า ‘เวที 23’ เพราะเป็นนักเรียนรุ่นที่ 23 ของโรงเรียนวัฒนานันท์อุปถัมภ์ (โรงเรียนสีกัน) ที่มักจะไปยึดพื้นที่บริเวณเวทีของโรงเรียนเพื่อเล่นกีตาร์ ร้องเพลง แซวผู้หญิงอยู่ตรงนั้น
- สมัยมัธยมไม่มีใครในโรงเรียนที่ไม่รู้จักโอ๊ต ปราโมทย์ เพราะเป็นเด็กหน้าฝรั่งคนเดียวในโรงเรียน แต่ไม่มีใครเรียกเขาว่าโอ๊ต เพราะเพื่อนสมัยมัธยมทุกคนจะเรียกว่าเขา ‘หรั่ง’ หรือไม่ก็ ‘โมทย์’
- เห็นเป็นคนพูดจาตลก ไหวพริบดีขนาดนี้ แต่จริงๆ แล้วโอ๊ตเป็นคนขี้อายมาก โดยเฉพาะเวลาอยู่บนเวทีหรือหน้ากล้อง ครั้งแรกที่ขึ้นไปร้องเพลงบนเวที เขาตัวสั่นถึงขนาดต้องใช้มือทั้งสองข้างประคองปิ๊กกีตาร์เอาไว้ไม่ให้หล่น หรือเวลาเจอผู้หญิงที่ชอบมากๆ เขาก็หมดความมั่นใจและพูดจาตะกุกตะกัก เสียอาการทันที เพราะฉะนั้นที่เขาเคยบอกว่าเห็นปู ไปรยา แล้วทำตัวไม่ถูก นั่นคือเรื่องจริงไม่ใช่มุก แถมยังเคยเดินหลบหน้าเมื่อเจอปู ไปรยา ตัวจริงมาแล้ว