×

นายกฯ หารือตัวแทนเอกชนเยอรมนี 12 บริษัท จาก 5 สาขาธุรกิจ ผลักดันความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว และพลังงานสะอาด

26.01.2024
  • LOADING...

นายกฯ หารือผู้แทนภาคเอกชนเยอรมนี ซึ่งเดินทางมาพร้อมประธานาธิบดีเยอรมนี เอกชน เชื่อมั่นพร้อมต่อยอดการลงทุนในไทย มุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกัน 

 

เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2567 เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หารือเต็มคณะ ร่วมกับ ฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ (H.E. Dr. Frank-Walter Steinmeier) ประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ไมเคิล เคลเนอร์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ และการปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (BMWK) และคณะผู้แทนภาคเอกชนเยอรมนี ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจาก 12 บริษัท ใน 5 สาขา ได้แก่ 

 

  1. สาขานิทรรศการงานแสดงสินค้านานาชาติ 
  2. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ 
  3. พลังงานหมุนเวียนและสิ่งแวดล้อม 
  4. บริการดิจิทัลและการศึกษา 
  5. วัสดุก่อสร้าง การก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและความต้องการด้านการส่งเสริมการค้าและการลงทุน 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 


 

ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญในการหารือกันครั้งนี้ว่า ประธานาธิบดีเยอรมนีกล่าวว่า เยอรมนีเชื่อมั่นในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและแข็งแกร่งระหว่างสองประเทศ ซึ่งไทยถือเป็นประเทศแรกที่มีทั้งความสัมพันธ์ทางการทูต และการค้ากับเยอรมนีอย่างยาวนานนับตั้งแต่ปี 1862 โดยเชื่อมั่นว่าไทยไม่ได้เป็นเพียงประเทศด้านการค้าการลงทุนเท่านั้น แต่เป็นพันธมิตรที่ดีสำหรับเยอรมนี ซึ่งเชื่อมั่นในการร่วมกันพัฒนาอนาคตที่สดใสร่วมกัน รวมถึงชื่นชมการมีเสถียรภาพทางการเมืองของไทย ซึ่งสะท้อนว่าไทยพร้อมเปิดกว้างสำหรับการทำธุรกิจ โดยเยอรมนีพร้อมที่จะยกระดับทางการค้าการลงทุนร่วมกัน

 

ด้าน มล.ชโยทิต กฤดากร ผู้แทนการค้าไทย ได้กล่าวสรุปข้อหารือที่ได้จากคณะผู้แทนภาคเอกชนเยอรมนีร่วมกับหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้องว่า ผลการหารือเป็นไปได้ด้วยดี สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันดีและใกล้ชิดระหว่างภาคธุรกิจไทยและเยอรมนี โดยได้เน้นย้ำถึงกระบวนทัศน์ทางเศรษฐกิจใหม่ของไทยในประเด็นต่างๆ ได้แก่ 

 

  1. การทำให้ประเทศไทยเป็นทางเลือกสำคัญในการลงทุน ในฐานะแหล่งผลิตและภาคอุตสาหกรรมที่มีพลังงานสะอาด 
  2. การนำเสนอด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งไทยมีฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ซึ่งเชื่อมั่นว่าการมีส่วนร่วมของบริษัทรถยนต์เยอรมนี จะสามารถเปลี่ยนผ่านสู่ภาคการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้ในประเทศไทย 
  3. การพัฒนาดิจิทัล ไทยมีเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุมมากที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค มีการปรับปรุง พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่รองรับทั้งการใช้งานส่วนบุคคลและการใช้งานในภาคอุตสาหกรรม 
  4. การส่งเสริมด้านอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ซึ่งหารือร่วมกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะบริษัทด้านการผลิตไมโครชิป และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคตสำหรับอุตสาหกรรม EV 
  5. การสนับสนุนความยั่งยืน ไทยมีเป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 โดยภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 รัฐบาลอยู่ระหว่างการสร้างอัตราภาษีสีเขียว (Green Tariff) แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่จะให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมให้การดูแล ติดตามทุกบริษัทที่ลงทุนในไทย รวมไปถึงการสร้างพลังงานหมุนเวียน เช่น โครงการพลังงานแสงอาทิตย์จากเขื่อนกักเก็บน้ำ 7 แห่งในไทย ซึ่งทางบริษัทเยอรมนีหลายแห่งให้ความสนใจด้านพลังงานหมุนเวียน โดยเห็นพ้องที่จะมีส่วนร่วมในแง่ของการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการลงทุนในไทยต่อไป 
  6. ด้านการเจรจา FTA เน้นย้ำการเจรจาร่วมกับสหภาพยุโรป ซึ่งไทยให้ความสำคัญกับพลังงานสีเขียว เพื่อการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ลดคาร์บอนอื่นๆ โดยข้อหารือทั้งหมดจะมีการพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อทั้งสองประเทศ

 

จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้นำเสนอนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลว่า เน้นนโยบายหลักหลายประการ ทั้งในด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น และการปฏิรูปโครงสร้างในระยะยาว ขณะเดียวกันรัฐบาลจะส่งเสริมการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน พร้อมมีโรดแมปที่ชัดเจนมากที่สุดในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ โดยเฉพาะด้านการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ต่างๆ เช่น การพัฒนาสนามบิน การพัฒนาระบบรางรถไฟ และโครงการแลนด์บริดจ์

 

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงความสะดวกในการทำธุรกิจสำหรับภาคเอกชนต่างชาติในไทย ซึ่งไทยเปิดรับการทำธุรกิจได้อย่างอิสระ มาตรการจูงใจทางภาษี รวมไปถึงด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเยอรมนีถือเป็นผู้นำระดับแนวหน้าของโลก 

 

นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลพร้อมจะยกระดับการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาคเอกชนทั้งจากไทยและเยอรมนี โดยนายกรัฐมนตรีมีกำหนดเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีในเดือนมีนาคม 2567 เพื่อพบปะกับบริษัทของเยอรมนี ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับภาคเอกชนของเยอรมนี

 

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ไทยพร้อมบูรณาการความร่วมมือ อำนวยความสะดวกให้แก่ภาคธุรกิจต่างๆ ที่ต้องการขยายการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งศักยภาพและเสถียรภาพทางการเมืองของไทยชี้ชัด และมีความสำคัญอย่างมากต่อสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนได้เพิ่มมากขึ้น โดยรัฐบาลยินดีพิจารณาทุกข้อเสนอแนะ และจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดต่อไป

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X