เป็นภาพยนตร์ที่กลายเป็นที่กล่าวถึงมากขึ้นเรื่อยๆ ณ เวลานี้ สำหรับ Society of the Snow ภาพยนตร์ภาษาสเปนที่ดัดแปลงมาจากหนังสือในชื่อเดียวกันของ Pablo Vierci ที่หลังจากเข้าฉายทาง Netflix ไปเมื่อช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ภาพยนตร์ก็ก้าวขึ้นสู่ Top 10 ภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยอย่างรวดเร็ว อีกทั้งตัวภาพยนตร์ก็ยังได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนประเทศสเปนในการส่งเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม ในปีนี้อีกด้วย
Society of the Snow บอกเล่าเรื่องราวจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในปี 1972 เมื่อเที่ยวบิน 571 ของกองทัพอากาศอุรุกวัยที่เดินทางจากอุรุกวัยไปชิลี ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกกลางเทือกเขาแอนดีส ทำให้ทีมรักบี้ที่เช่าเครื่องบินเหมาลำมาต้องหาทางเอาชีวิตรอดจากความหนาวเหน็บและความหิวโหยไปพร้อมๆ กับเฝ้ารอความช่วยเหลือที่ไม่มีใครทราบว่าจะมาถึงเมื่อไร
ซึ่งเหตุการณ์เครื่องบินตกครั้งนั้นได้เคยถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์มาแล้วถึง 2 ครั้ง ได้แก่ Survive! (1976) ของผู้กำกับ René Cardona และ Alive (1993) ของผู้กำกับ Frank Marshall ส่วนภาพยนตร์ฉบับนี้จะได้ J.A. Bayona จาก The Impossible (2012) และ A Monster Calls (2016) มานั่งแท่นผู้กำกับ
ส่วนตัวผู้เขียนยังไม่เคยมีโอกาสชม Survive! และ Alive มาก่อน ดังนั้นในการรับชม Society of the Snow จึงถือเป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนจะได้ติดตามและรับรู้เรื่องราวของเหล่าผู้รอดชีวิตจากเหตุเครื่องบินตกครั้งนั้นในรูปแบบภาพยนตร์ ซึ่งในแง่หนึ่งก็อาจเป็นข้อดีในแง่ของความสดใหม่ในการรับชม
ขณะเดียวกันเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวจากเหตุการณ์จริง ผู้ชมหลายคนที่เคยอ่านข่าวมาก่อนก็น่าจะพอทราบถึงจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของเหตุการณ์ดังกล่าวมาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย ดังนั้นกลวิธีนำเสนอจึงถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการตรึงให้ผู้ชมอยู่กับเรื่องราวไปได้ตลอดทั้งเรื่อง
และสำหรับ Society of the Snow ก็ดูเหมือนว่าผู้กำกับ J.A. Bayona จะงัดทุกเครื่องมือทางภาพยนตร์มาใช้ เพื่อพาเราเข้าไปติดตามเรื่องราวการเอาชีวิตรอดของทีมรักบี้กลุ่มนี้กันอย่างใกล้ชิดทุกฝีก้าว
หนึ่งในนั้นคือฉากเครื่องบินตกที่นอกจากการพาเราเข้าไปนั่งอยู่กับผู้โดยสารขณะเครื่องบินตกแล้ว ทีมสร้างยังแทรกช็อตเล็กๆ น้อยๆ ที่โฟกัสผู้โดยสารที่ถูกเก้าอี้ทับขาหรือหัวกระแทกกับสิ่งของพร้อมกับเสียงกระดูกหักเข้ามา ซึ่งเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ส่งผลให้ฉากเปิดเรื่องฉากนี้สามารถตรึงให้เราอยู่กับภาพยนตร์ได้ในทันที
อีกทั้งการที่ผู้กำกับภาพอย่าง Pedro Luque มักจะเลือกใช้มุมภาพแบบ Close-up เป็นส่วนใหญ่ ก็เพื่อให้เราเห็นสีหน้าของตัวละครอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นในฉากบทสนทนาธรรมดาหรือฉากที่ลุ้นระทึก ผนวกกับความคับแคบของสถานที่ก็ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรารู้สึกตึงเครียด หวาดกลัว และกดดันไปพร้อมๆ กับตัวละคร สลับกับภาพมุมกว้างที่ฉายภาพให้เราเห็นถึงความยิ่งใหญ่และงดงามของเทือกเขาแอนดีส ซึ่งในแง่หนึ่งภาพเหล่านั้นก็อาจบ่งบอกถึงความอันตรายที่อยู่รอบตัวและความหวังของทีมรักบี้ได้เช่นกัน
นอกจากเรื่องงานสร้างแล้ว อีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญของภาพยนตร์เห็นจะเป็นบทสนทนาของตัวละครที่ถูกร้อยเรียงมาเป็นอย่างดี โดยหนึ่งในฉากที่เราชื่นชอบมากที่สุดและน่าจะเป็นฉากที่บ่งบอกใจความสำคัญของภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดีเห็นจะเป็นฉากที่ Numa (Enzo Vogrincic) กล่าวกับ Nando (Agustín Pardella) ว่า เขาพร้อมจะมอบร่างกายให้เพื่อนๆ หลังจากเสียชีวิต
เพราะนอกจากที่ฉากฉากนี้จะฉายภาพให้เราเห็นถึงความผูกพันของผองเพื่อนทีมรักบี้ที่ช่วยกันทำ ‘ทุกวิถีทาง’ เพื่อหาทางข้ามผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไปด้วยกันแล้ว มันยังช่วยเน้นย้ำให้เราเห็นถึงแรงผลักดันสำคัญของตัวละครที่ไม่ได้พยายามดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปแทนผองเพื่อนที่ไม่มีโอกาสได้กลับบ้านไปพบเจอกับครอบครัวอีกด้วย
ในภาพรวม Society of the Snow เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากเหตุการณ์จริงอีกหนึ่งเรื่องที่พาเราไปสัมผัสกับความรู้สึกหวาดกลัวและการโอบกอดความหวังในช่วงเวลาที่มืดหม่นที่สุด ผ่านงานภาพ ดนตรี บทสนทนา และการแสดง ที่ถูกร้อยเรียงออกมาได้อย่างทรงพลัง และมันยังส่งผ่านไปถึงฉากสุดท้ายของเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกยินดีและเสียน้ำตาให้กับเหล่าผู้รอดชีวิตที่สามารถข้ามผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไปได้สำเร็จอีกด้วย
สามารถรับชม Society of the Snow ได้แล้วทาง Netflix
รับชมตัวอย่าง Society of the Snow ได้ที่: www.youtube.com/watch?v=VvjilGytWVk
ภาพ: Netflix