ตลอดปี 2023 วงการตำรวจไทยมีประเด็นพูดถึงมากมาย เช่น การปราบคอร์รัปชัน, การเลือกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่, ภาพลักษณ์องค์กรตำรวจที่สูญเสียความเชื่อมั่นจากประชาชน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์สำคัญที่ประชาชนให้ความสนใจมากที่สุด คือเช้าวันจันทร์ที่ 25 กันยายน เมื่อตำรวจชุดปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (PCT5) นำหมายค้นและหมายจับของศาลอาญากรุงเทพใต้ เข้าไปขอตรวจค้นและจับกุมตัว พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) หลังตรวจสอบพบการเชื่อมโยงกับเว็บไซต์พนันออนไลน์
แม้เหตุการณ์ดังกล่าวจะผ่านพ้นมาแล้ว แต่รายการ THE STANDARD NOW ดำเนินรายการโดย อ๊อฟ-ชัยนนท์ หาญคีรีรัตน์ ในรูปแบบพิเศษ NOW AND NEXT 2024 ได้รับเกียรติจาก พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ มาเปิดใจทุกเรื่องราวของชีวิต และหนทางการปราบทุจริตที่สะเทือนทั้งวงการสีกากี
“องค์กรตำรวจตอนนี้มันเน่าเฟะ”
“การจะบุกค้นบ้านนายตำรวจระดับรอง ผบ.ตร. ขนาดนี้ มันทำให้องค์กรเสียหาย ผมขออโหสิหมด แต่สิ่งที่ทำไปมันไม่มีประโยชน์” พล.ต.อ. สุรเชษฐ์กล่าวบทสนทนาแรก
เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ประชาชนจึงมองออกเป็น 2 ด้าน ได้แก่ ตนทำไม่ดี กับมีคนรังแกตน แต่สิ่งสุดท้ายที่ทุกคนคิดเหมือนกันคือ ‘องค์กรตำรวจมันเน่าเฟะ’
การเป็นตำรวจสิ่งที่ต้องยึดมากที่สุดคือประชาชน ถ้าประชาชนไม่เชื่อมั่นในการทำหน้าที่ จะไปจับกุมครั้งต่อไปก็ทำได้ลำบาก อนาคตจะเกิดการค้านและไร้ความศรัทธา
“วันนี้ในเครื่องแบบ ประชาชนศรัทธาอยู่แล้วร้อยละ 50 แต่ถ้าอีกร้อยละ 50 เจ้าหน้าที่ไม่ทำให้ประชาชนได้เห็นการปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต องค์กรก็จะย่ำแย่ลง” พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ขยายความ
“ผมจะไม่เอาคืน แต่มีข้อมูลอยู่มาก ถ้าเปิดเผยเมื่อไรก็ตายกันหมดทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ”
ข้อมูลที่บอกว่าจะเปิดเผย ที่จริงแล้วทุกคนก็มีเหมือนกันหมด ซึ่งคงยังไม่เปิดเผย แต่ต้องย้อนถามกลับไปว่า “แล้วองค์กรจะอยู่อย่างไร”
“อะไรก็แล้วแต่ ผมจะถูกกระทำ ถูกรังแกกี่หนกี่ครั้ง แต่อย่างไรผมต้องรักษาองค์กรตำรวจไว้ก่อน ผมเชื่อมั่นว่าองค์กรเราต้องมีคนดีมากกว่าคนไม่ดี แต่คนไม่ดีมีส่วนน้อย ต้องทำให้คนไม่ดีกลับมาปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกรอบให้ได้ แต่เมื่อไรก็ตามที่ไม่ไหว ก็ต้องเฉือนเนื้อนี้ทิ้งไป” พล.ต.อ. สุรเชษฐ์เผย
ยอมรับว่าการทำหน้าที่ในหลายๆ ครั้ง หลายหน่วยอาจรู้สึกรุนแรง ล่าสุดก็มีการดำเนินคดีและจับกุมตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 107 นาย แต่ต้องเข้าใจว่าหากไม่ทำแบบนี้ ไม่แยกน้ำเสียออกจากน้ำดี คนส่วนมากที่ตั้งใจทำงานจะโดนเหมารวม และเสียกำลังใจไปหมด
“ขอยืนยันว่าผมไม่ได้เอี่ยวเว็บไซต์พนัน”
ในชีวิตข้าราชการ ขอยืนยันว่าไม่เคยมีเรื่องไปเอาเว็บไซต์พนันแต่อย่างใด” พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ย้ำชัด
เจ้าของเว็บไซต์การพนันในประเทศไทยมีไม่กี่ราย ในองค์กรตำรวจจะทราบดีว่าใครรับเงินเว็บไซต์การพนัน ไม่ต่างอะไรกับวงการสื่อมวลชนก็ทราบดีเช่นกันว่าใครรับเงินสีเทาบ้าง ซึ่งการจะเอาผิดกับผู้ต้องหาคงต้องรอการสืบสวน อย่างไรก็ตาม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในประเทศไทยมีอยู่จริง และทุกคนไม่สามารถปิดบังความจริงได้
“ส่วนการจับกุมลูกน้องผมทั้ง 8 นาย ไม่ว่าจะถูกกลั่นแกล้งหรือไม่ก็ตาม ผมจะไม่ทิ้งเขา ดูแลและช่วยเหลือเสมอ แต่ถ้าผิดจริงผมก็ไม่เอาไว้” พล.ต.อ. สุรเชษฐ์กล่าว
พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ถูกเตะตัดขาตำแหน่ง ผบ.ตร.?
“การบุกค้นบ้านที่เกิดขึ้นเกี่ยวพันกับหน้าที่การงานและการจะเป็น ผบ.ตร. ในอนาคตอย่างแน่นอน ไม่สามารถปฏิเสธได้เพราะเป็นเรื่องของการเมือง” พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ระบุ
สำหรับตำแหน่ง ผบ.ตร. ตนมองว่าเป็นเรื่องบุญวาสนาและฝีไม้ลายมือ แต่ทุกตำแหน่งต้องช่วยกันทำงาน เพราะทุกคนอยู่บนเรือลำเดียวกัน ควรมองภาพรวมเป็นหลัก ถ้าคิดเรื่องการแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น คนที่ได้รับผลกระทบที่แท้จริงคือประชาชน
ความสัมพันธ์กับ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์
“วันนี้ไม่มีอะไร เข้าใจกันหมดทุกอย่างแล้ว” พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ยืนยัน
ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำ ณ ตอนนี้คือมีวินัย ส่วนทุกอย่างที่เกิดขึ้นคงไม่สามารถปกปิดความจริงได้ แต่ยอมรับว่าปัญหากับ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์มาจากการไม่พูดคุยกัน ทำให้เกิดการเข้าใจผิดซึ่งกันและกัน
จุดแตกหักของตำรวจ คือโรงพักไม่เป็นที่พึ่งของประชาชน
“จุดแตกหักคือโรงพัก ถ้าทุกโรงพักบริการให้คนดี ทุกอย่างเดี๋ยวจะกลับมา แต่ทุกอย่างต้องสมดุลและเป็นธรรม เช่นเดียวกับความเป็นธรรมของตำรวจ” พล.ต.อ. สุรเชษฐ์กล่าว
“เมื่อประชาชนมีเรื่องเดือดร้อน สุดท้ายกลับติดต่อหา กัน จอมพลัง สายไหม้ต้องรอด และคนเหล่านี้ก็โทรหาตนอีกครั้งเพราะเชื่อว่าตนเป็นที่พึ่งพาได้” พล.ต.อ. สุรเชษฐ์กล่าวเพิ่ม
จากประสบการณ์และการศึกษาดูงานในต่างประเทศ การเช่าซื้ออุปกรณ์เพื่อใช้ในโรงพักเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากทุกวันนี้หลายๆ โรงพักยังคงประสบปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์ เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร, โต๊ะ, เครื่องพิมพ์ ซึ่งผู้ใหญ่หลายๆ คนมองข้ามความสำคัญตรงนี้ หากสิ่งของพื้นฐานยังมีไม่เพียงพอ การบริหารของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อประชาชนก็คงทำได้ลำบาก
ดังนั้น ในเชิงบริหารที่โรงพักทั่วประเทศไทยมีกว่า 1,484 แห่ง สิ่งที่องค์กรตำรวจไทยสามารถยกระดับโรงพักได้อย่างรวดเร็ว คืออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ เพื่อทำให้คนทำงานไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพราะต้นทุนอาชีพของทุกคนนี้ไม่ได้มีเงินมากมาย
“ลูกน้องผมทำงานอย่างเดียว ไม่ต้องคิดเรื่องตำแหน่ง เดี๋ยวผมจัดการให้”
“ลูกน้องที่อยู่กับผมจะเหนื่อยกว่าปกติ แต่ไม่ต้องเสียเงิน เรื่องตำแหน่งแห่งหนไม่ต้องจ่ายเงิน ไม่ต้องคิด เดี๋ยวผมจัดการให้หมด ทำงานกับผมขอแค่ใช้สมอง คิด ทำงานจับคนร้ายให้ได้” พล.ต.อ. สุรเชษฐ์เปิดเผย
ตำรวจไทยมีปัญหากับงบประมาณ ทำให้เจ้าหน้าที่หลายคนไม่สามารถใช้ศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ซึ่งนี่คือหนึ่งในปัญหาโครงสร้างตำรวจไทยที่ตนต้องการให้ลูกน้องทุกคนได้ใช้ศักยภาพในการทำงานอย่างเต็มที่ เนื่องจากตนเข้าใจดีว่า ‘วงการสีกากีต้องมีเงิน’
บทบาทใหม่จากหัวเรืองานสืบสวน สู่ความมั่นคง-กิจการพิเศษ
หลังการประชุมมอบแนวทางการบริหารงานราชการตำรวจเมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ถูกย้ายไปรับผิดชอบงานด้านความมั่นคงและกิจการพิเศษ จากเดิมที่ควบคุมงานสืบสวน
“ถ้าถามว่างานที่ชอบสุดคืองานป้องกันปราบปราม เพราะงานสืบสวนเป็นงานหลังเหตุเกิดแล้ว” พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ตอบกลับอย่างรวดเร็ว
หากมีมาตรการป้องกันและความมั่นคงที่ดี เหตุจะลดน้อยลง ซึ่งงานป้องกันเป็นสิ่งที่ประชาชนพึงพอใจมากที่สุด อีกทั้งยังประหยัดค่าใช้จ่าย เนื่องจากไม่ต้องออกลาดตระเวน สืบสวนสอบสวน รวมถึงปัญหาทางสังคมจะลดลงเพราะผู้ต้องขังจะไม่ล้นคุก
ขอเดินหน้าปราบทุจริต แม้กระทบเส้นทาง ผบ.ตร. ก็ไม่หวั่น
“ถ้าผมมีโอกาสปราบ ผมใช้เวลา 7 วันปราบหมดแน่นอน” พล.ต.อ. สุรเชษฐ์กล่าว
ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ภาวะสังคมผู้สูงอายุ หากเยาวชนไปถูกกับดักเว็บไซต์พนันออนไลน์ ย่อมส่งผลในการปราบทุจริต ซึ่งนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปราบคอร์รัปชันที่ตนตั้งใจ
ทั้งนี้ ประเทศไทยยังมีกระบวนการทุจริตอีกมากมาย การที่ตนขอเดินหน้าปราบทุจริตอย่างเต็มที่ เพราะต้องการรักษาองค์กรตำรวจและทำให้ประชาชนสบายใจ แม้ผู้ใหญ่หลายคนอาจไม่ปลื้ม หรือเกิดการสกัดกั้นสู่การเป็น ผบ.ตร. ก็ไม่หวั่น เนื่องจากอายุราชการของตนเองยังเหลืออีกหลายปี
“สำหรับผม การทำคุณประโยชน์ให้แผ่นดินย่อมสำคัญกว่าตำแหน่งที่ได้รับ” พล.ต.อ. สุรเชษฐ์กล่าว
เป้าหมายสูงสุดคือประชาชนต้องกลับมาเชื่อมั่นองค์กรตำรวจไทย
“จะเป็น ผบ.ตร. หรือไม่ได้เป็นขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชา แต่ผมต้องการให้องค์กรของผมดี ประชาชนมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในองค์กร” พล.ต.อ. สุรเชษฐ์กล่าว
ถ้าดูจำนวนตำรวจไทย ณ ปัจจุบันพบว่ามีประมาณ 3 แสนนาย ซึ่งประชาชนยังคงต้องพึ่งพาตำรวจ หากองค์กรสีกากีไม่มีการพัฒนา ความเชื่อมั่นของประชาชนจะสูญหายไปทุกวัน
“ตราบใดก็ตามที่ผมยังไม่เกษียณ ผมยังมีความเชื่อมั่นเสมอ ตำแหน่งแห่งหนเป็นอีกเรื่อง แม้วันนี้เรายังไม่ได้รับความไว้ใจ แต่ถ้าเราทำงานได้ดีในทุกๆ วัน ทุกๆ อย่างก็จะค่อยๆ ดีขึ้น” พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ทิ้งท้าย