ปี 2023 ถือเป็นปีกระต่ายดุที่ดูเหมือนไม่ค่อย ‘อ่อนโยน’ ต่อจีนสักเท่าไร เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นปี วันที่ 8 มกราคม ที่มีการบอกลานโยบายโควิดเป็นศูนย์อย่างเงียบๆ โดยใช้วิธีการประกาศลดระดับโควิด-19 ให้เป็นโรคติดเชื้อระดับ B หลังจากที่คนในประเทศมีความรู้สึกเหมือนถูกขังอยู่ในคุกขนาดใหญ่มาตลอด 3 ปี
ซึ่งภายหลังจากการประกาศดังกล่าว จำนวนประชากรจีนมีการติดเชื้อโควิด-19 อย่างรวดเร็วกว่าพันล้านคน และมีจำนวนผู้เสียชีวิตมากกว่าตัวเลขของผู้เสียชีวิตของสหรัฐฯ ตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของรัฐบาลจีนที่ยังคงส่งผลกระทบต่ออีกหลายๆ ปัจจัยตลอดทั้งปี รวมถึงเรื่องภูมิคุ้มกันของคนในประเทศมาจนถึงปัจจุบัน และล่าสุดโรคปอดบวมในเด็กที่ CDC ของจีนออกมายอมรับว่าเป็นผลกระทบมาจากการที่ประชาชนจีนมีภูมิคุ้มกันน้อยเกินไป
ยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์เจ็บแต่ไม่จบ
ในเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากการระบาดอย่างหนักของโควิด-19 ระลอกแรกในจีนจบลง ดูเหมือนไม่มีใครอยากจะพูดถึงสิ่งที่ผ่านมาตลอด 3 ปี จีนเปิดการเดินทางระหว่างประเทศมากขึ้น แม้ในช่วงแรกๆ จะยังคงมาพร้อมกับผลตรวจโควิด-19 โดยที่ทั่วโลกหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่เดินทางออกนอกประเทศมากขึ้น กลับมาท่องเที่ยวเหมือนกับในช่วงก่อนโควิด-19
แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะในช่วง 3 ปีที่จีนดำเนินนโยบายโควิดเป็นศูนย์ ส่งผลกระทบอย่างหนักและต่อเนื่องต่อเศรษฐกิจจีน เห็นได้จากอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอลง คนรัดเข็มขัดมากขึ้น การผิดนัดชำระหนี้ของภาคอสังหาริมทรัพย์เจ้าใหญ่หลายเจ้าของจีน ตัวเลขการลงทุนการค้าต่างประเทศที่ลดลง และจำนวนตัวเลขคนว่างงานที่สูงขึ้นถึง 1 ใน 5 ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จนกระทั่งในช่วงกลางปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนต้องหยุดประกาศตัวเลขจำนวนคนว่างงานเป็นการชั่วคราว และกลับมาประกาศใหม่ในช่วงไตรมาสที่ 3 โดยใช้วิธีการนับคนที่ทำงานพาร์ตไทม์รายชั่วโมงให้เข้ามาอยู่ในกลุ่มคนมีงานทำ รวมถึงวิธีการคำนวณแบบต่างๆ ที่จะทำให้ตัวเลขว่างงานดูไม่สูงจนเกินไป จนมีคำพูดที่ว่าคนหนุ่มสาวชาวจีนไม่เพียงแค่เลือกที่จะ ‘นอนราบ’ เท่านั้น แต่พวกเขายังถูกบดขยี้อีกด้วย
ในปีนี้แม้ว่าจีนจะอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจมากเท่าใดก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถจัดการกับหนี้ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างมหาศาลในช่วงบริหารจัดการการล็อกดาวน์โควิด-19 รวมถึงผลกระทบกับอุตสาหกรรมขนาดกลาง ขนาดเล็ก และภาคครัวเรือนได้ นอกจากนั้นร้อยละ 70 ของทรัพย์สินในครัวเรือนของคนจีนก็ยังเชื่อมโยงกับอสังหาริมทรัพย์ ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจจึงกลายเป็นลูกโซ่อย่างช่วยไม่ได้ แม้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จีนจะยังมั่นใจตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยอ้างอิงการปรับเพิ่มการคาดการณ์การเติบโต GDP ปีนี้ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 5.4 ก็ตาม แต่โดยภาพรวมคนจีนรุ่นใหม่ยังคงมีความไม่มั่นใจในอนาคต นำไปสู่การไม่ยอมแต่งงานมากขึ้น และส่งผลให้เกิดวิกฤตประชากรศาสตร์ที่ทำให้ตัวเลขการเกิดใหม่ของประชากรจีนลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
การขึ้นสู่อำนาจตลอดกาลของสีจิ้นผิง
การประชุมสองสภาในช่วงเดือนมีนาคมของปีนี้ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้ละทิ้งการสืบทอดธรรมเนียมปฏิบัติของผู้นำจีนที่มีมายาวนาน และขึ้นดำรงตำแหน่งในสมัยที่ 3 อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยเสียงสนับสนุนอย่างเอกฉันท์ 2,952 เสียง ซึ่งเป็นเส้นทางที่จะทำให้เขาสามารถมีอำนาจตลอดชีวิต
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนตระหนักถึงความเด็ดขาดของอำนาจและความเสี่ยงที่จะมาพร้อมกับอำนาจนั้น ภาพของอดีตประธานาธิบดีหูจิ่นเทา ที่ถูกเชิญออกจากห้องประชุม การเสียชีวิตของอดีตนายกฯ รัฐมนตรีหลี่เค่อเฉียง การถูกถอดออกจากตำแหน่งและการหายตัวไปของรัฐมนตรีต่างประเทศฉินกัง และรัฐมนตรีกลาโหมหลี่ซ่างฝู ที่เกิดขึ้นในปีนี้ล้วนแต่ติดอยู่ในใจคนจีนหลายคน แต่ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากถามว่าสิ่งเหล่านี้คือผลตอบแทนของความต้องการอยู่ในอำนาจตลอดไปของเขาหรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่านโยบายการสื่อสารกับประชาชนในประเทศช่วงปีที่ผ่านมาจะเริ่มเน้นไปที่การบูชาตัวบุคคลมากกว่านโยบายเพื่อประชาชนอื่นๆ อย่างที่เคยมีมา
การต่างประเทศที่เปิดแต่ปิด
การเปิดประเทศอีกครั้งในปีนี้ของจีน ทำให้ผู้นำต่างชาติรวมทั้งบรรดานักธุรกิจ นักลงทุนจากต่างประเทศเดินทางมาปักกิ่งและจีนอย่างไม่ขาดสาย รวมถึงผู้นำจีนเองก็ได้มีการเดินทางไปยังประเทศต่างๆ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และเข้าร่วมการประชุมตลอดทั้งปี แม้ว่าในช่วงต้นปีจะเปิดด้วยความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่ไม่ค่อยดีนักจากกรณีการยิงบอลลูนจีนของสหรัฐฯ ทำให้ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ต้องยกเลิกกำหนดการเยือนปักกิ่งในช่วงนั้น และในช่วงการประชุมสองสภา ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงยังกล่าวหาสหรัฐฯ ว่ากำลังปิดล้อม กักกัน และปราบปรามจีน
แต่สุดท้ายปลายปีในช่วงการประชุมเอเปค ภาพของผู้นำสหรัฐฯ และจีนที่นครซานฟรานซิสโกก็ดูเหมือนจะกลับมาหวานชื่นอีกครั้ง
ในขณะที่ความสัมพันธ์กับต่างประเทศอื่นๆ เช่น ตะวันออกกลางและภูมิภาคกำลังพัฒนาอื่นๆ ในปีนี้ถือว่าจีนสามารถทำได้ดี เช่น การเป็นกาวใจระหว่างอิหร่านกับซาอุดีอาระเบีย รวมถึงการที่ผู้นำยุโรป เช่น สเปน, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ฯลฯ เดินทางมาเยือนจีนในปีนี้ ก็เป็นการส่งสัญญาณการเปิดกว้างของจีน และอีกหนึ่งเซอร์ไพรส์ที่มาในช่วงปลายปี คือการที่จีนและออสเตรเลียกลับมาจัดประชุมผู้นำประจำปีร่วมกันอีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายกันมาหลายปีจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในประเด็นต่างๆ
นอกจากนี้จีนยังวางตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ยในความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-ฮามาส และงานด้านการต่างประเทศที่สำคัญที่สุดของจีนในปีนี้ก็คือการประชุม Belt and Road Forum ครั้งที่ 3 ซึ่งมีผู้นำระดับประเทศเข้าร่วมกว่า 20 คน เพื่อเป็นการตอกย้ำนโยบายการต่างประเทศที่สำคัญของสีจิ้นผิง ที่ย้ำอยู่เสมอว่าจีนต้องการสร้างประชาคมที่มีโชคชะตาร่วมกันกับทุกประเทศ
ดูเหมือนว่าปีกระต่ายจะไม่อ่อนโยนกับจีน แต่จีนเองก็ยังสู้กลับ แม้จะมีบาดแผลค่อนข้างมากโดยเฉพาะเรื่องอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่ปี 2024 หรือปีมังกรที่กำลังจะมาถึง จีนจะครบรอบ 75 ปีการสถาปนาจีนใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าจะมีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ทั้งคนจีนและทั่วโลกต่างมีความคาดหวังว่า 75 ปีจีนใหม่น่าจะไฉไลกว่าปีที่ผ่านมา
ภาพ: Getty Images, Shutterstock, Reuters
อ้างอิง:
- https://apnews.com/article/china-yearend-covid-economy-f6edc288b95099a415705a9203ea5ab5
- https://www.cfr.org/blog/china-year-review-2023
- https://foreignpolicy.com/2023/12/19/china-year-review-2023-covid-economy-unemployment-property-xi-biden/
- https://www.foxnews.com/world/china-had-busy-2023-race-to-usurp-us-dominant-world-power