ปี 2023 เรียกได้ว่าเป็นอีกปีที่ซีรีส์อนิเมะยังคงมีมาตรฐานสูง ไม่ว่าจะเป็นภาคต่อหรือเรื่องที่เพิ่งเปิดตัวก็ล้วนแต่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพแทบทั้งสิ้น ที่สำคัญยังมีความหลากหลายในแง่ของประเภท ซึ่งทำให้ผลงานในปีนี้สามารถสร้างความประทับใจให้แก่คนดูได้ไม่น้อย
โดยเฉพาะหากใครก็ตามที่รอคอยการกลับมาของเรื่องราวที่ตัวเองรัก นี่คงเป็นปีที่สมหวัง เพราะนอกจากจะมีให้ดูกันยาวๆ ตลอดทั้งปีแล้ว มันยังมาพร้อมกับความเข้มข้นของเนื้อหาและงานภาพที่อลังการด้วย แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ผลงานเก่าเท่านั้นที่ถูกจับตามอง เพราะในขณะเดียวกันทางฝั่งหน้าใหม่ก็จัดเต็มความสนุก อบอุ่น และตับแตก ชนิดที่หลายคนติดงอมแงมเลยทีเดียว
แล้วมาถึงปลายปี มีเรื่องไหนโดดเด่นบ้าง อันที่จริงคำว่า ‘เยอะ’ คงเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุด เพราะทุกเรื่องต่างก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ทำให้วันนี้เราจะต้องเลือกบางเรื่องที่น่าสนใจมาขยายภาพกันสักเล็กน้อยว่าทำไมซีรีส์อนิเมะเหล่านั้นถึงได้กลายเป็นที่พูดถึง โดย 10 เรื่องที่ยกมาก็มีองค์ประกอบหลายอย่างที่เหมาะสมแก่การดูที่สุดในปีนี้
Vinland Saga Season 2
หลังจากข้ามน้ำข้ามทะเลตามแก้แค้นให้พ่อ Vinland Saga Season 2 ซึ่งเป็นผลงานที่ดัดแปลงมาจากมังงะชื่อเดียวกันของ Makoto Yukimura ในคราวนี้ไม่ได้เล่าเรื่องราวที่ขับเคลื่อนตัวละครด้วยความรุนแรงอีกต่อไป แต่เป็นการเฝ้ามองเด็กหนุ่มอย่าง Thorfinn ที่หมดอาลัยตายอยากในฟาร์มแห่งหนึ่งพร้อมกับผู้คนที่จะทำให้เขาหันกลับมามองคุณค่าของชีวิตตัวเองอีกครั้ง
เหมือนเช่นเคย Vinland Saga Season 2 ยังคงมีจุดแข็งในการถ่ายทอดปูมหลังและพัฒนาการตัวละคร เพียงแต่คราวนี้จังหวะการเล่าเรื่องเหนือชั้นกว่านั้นมาก เมื่อมันเปลี่ยนแนวทางการดำเนินเรื่องอย่างกล้าหาญ ด้วยการลดความเร็วลงและไม่ฉายภาพอะไรเลยนอกจากการใช้ชีวิตในฟาร์มของ Thorfinn ที่มักพูดคุย ทำงาน ถูกรังแก และใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นๆ ส่วนอีกด้านก็เป็นเรื่องราวของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเขาโดยตรง
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ความโดดเด่นของซีรีส์อยู่ตรงที่ระหว่างทางมันถ่ายทอดจิตใจที่บอบช้ำจากสงครามและความเป็นมนุษย์ของตัวละครได้อย่างทรงพลัง ที่สำคัญยังขับเคลื่อน Thorfinn ไปพร้อมกันอย่างช้าๆ ทั้งตัวตน ความคิด รวมไปถึงการตระหนักรู้ในสิ่งที่ตัวเองเคยทำ ซึ่งทั้งหมดปูทางมาเพื่อให้เขาได้เผชิญหน้ากับ Canute สหายเก่าที่ตอนนี้กลายเป็นกษัตริย์ผู้หมายมั่นจะสร้างโลกในอุดมคติ แม้จะต้องเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ก็ตาม
และด้วยโครงเรื่องที่แข็งแรงอยู่แล้วเป็นทุนเดิมจากมังงะ ทำให้ Vinland Saga Season 2 สามารถสำแดงความยอดเยี่ยมออกมาได้อย่างงดงามโดยไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่เป็นซีรีส์อนิเมะที่ควรค่าแก่การดูมากที่สุดในปีนี้
สามารถรับชม Vinland Saga Season 2 ได้ทาง Netflix
Demon Slayer: Kimetsu no Yaiba Swordsmith Village Arc
ufotable กลับมาอีกครั้งกับซีรีส์อนิเมะยอดนิยมอย่าง Demon Slayer: Kimetsu no Yaiba Swordsmith Village Arc ซึ่งเป็นเหตุการณ์ต่อจากย่านเริงรมย์ที่ Tanjiro Kamado ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านช่างตีดาบและได้พบกับสองเสาหลักอย่าง Kanroji Mitsuri กับ Tokito Muichiro ในขณะเดียวกันฝ่ายอสูรที่สูญเสียกำลังหลักก็จัดการประชุมใหญ่พร้อมกับส่งอสูรข้างขึ้นลำดับที่ 4 Hantengu และอสูรข้างขึ้นลำดับที่ 5 Gyokko ไปกำจัดพวกเขา
Demon Slayer: Kimetsu no Yaiba Swordsmith Village Arc อาจไม่ได้ดูหวือหวานักเมื่อเทียบกับซีซันก่อน แต่มันก็ยังคงรักษามาตรฐานเอาไว้ได้ดี ทั้งรายละเอียดของงานภาพที่ผสมผสานระหว่างความเป็น 2D กับ 3D จังหวะการตัดต่อ การจัดวางองค์ประกอบภาพ แบ็กกราวด์ตัวละคร ไปจนถึงดนตรีประกอบที่ทำออกมาให้เข้ากับพื้นหลังของหมู่บ้าน อารมณ์ และฉากแอ็กชันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเสาหลัก ซึ่งทั้งหมดนอกจากจะทำออกมาอยู่ในระดับที่น่าชื่นชมแล้ว มันยังช่วยขยายขอบเขตจินตนาการที่อยู่บนหน้ากระดาษอีกด้วย
สามารถรับชม Demon Slayer: Kimetsu no Yaiba Swordsmith Village Arc ได้ทาง iQIYI, Netflix, Prime Video และ True iD
Oshi No Ko
เรื่องราวของเด็กสาวไอดอล Oshi No Ko เป็นซีรีส์อนิเมะที่เปิดตัวได้โดดเด่นมาก ด้วยความยาวของตอนแรกที่นานถึง 1 ชั่วโมง 22 นาที พร้อมเพลงเปิดอย่าง Idol ที่ดังเป็นพลุแตก ทำให้อนิเมะเรื่องนี้สามารถเข้าถึงกลุ่มคนดูได้รวดเร็วหลังจากออกฉายเพียงแค่ตอนเดียว
แต่ถึงอย่างนั้น เนื้อหาที่เข้มข้นของ Oshi No Ko ก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้าม เมื่อซีรีส์ไม่ได้เล่าเรื่องในโทนสว่าง แต่เป็นด้านมืดของวงการไอดอลญี่ปุ่นที่หลายครั้งมันคว้านเอาเรื่องราวเหล่านั้นขึ้นมาบนดินอย่างไม่ปรานี โดยเฉพาะจุดเปลี่ยนในช่วงท้ายของตอนแรกที่พลิกแนวทางจากหน้ามือเป็นหลังมือ และทำให้เรื่องราวที่ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับครอบครัวแตกแขนงกลายเป็นเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งต่างจากจุดเริ่มต้นโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม ความบันเทิงส่วนหนึ่งของ Oshi No Ko ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และการเปิดใจของคนดูด้วยเช่นกัน เพราะถ้ายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ คุณก็จะพบกับอนิเมะที่มีเอกลักษณ์ในการนำเสนอเรื่องราวที่ดีที่สุดในปีนี้
สามารถดู Oshi No Ko ได้ทาง Netflix, Bilibili, iQIYI, Prime Video และ Ani-One Thailand
Skip and Loafer
ม้ามืดน่าจะเป็นคำที่เหมาะสมสำหรับ Skip and Loafer อนิเมะแนว Slice of life ที่นำเสนอเรื่องราวของ Iwakura Mitsumi เด็กสาวชนบทที่เข้ามาเรียนต่อ ม.ปลาย ในโตเกียว และได้พบกับคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่จะกลายเป็นเพื่อนของเธอ พล็อตเรื่องสุดแสนธรรมดานี้อาจไม่ใช่สิ่งที่ใหม่ แต่เพราะความธรรมดานี้เองที่ตอบโจทย์คนดูเข้าอย่างจัง เมื่อซีรีส์เล่าเรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่นที่อยู่ในวัยเปราะบางด้วยความเข้าอกเข้าใจ และให้ความสำคัญกับเรื่องทุกข์ใจของพวกเขาเท่าๆ กัน
สิ่งที่ Skip and Loafer แข็งแรงมากคือ ภายใต้ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านออกมา มันไม่เคยทิ้งรายละเอียดของฉากน่ารักๆ เลย ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะนิสัยของตัวเอกอย่าง Iwakura Mitsumi ที่มักจะใจดีกับผู้อื่น ซึ่งไม่มากไม่น้อยความรู้สึกเหล่านั้นได้ส่งต่อไปยังคนรอบข้างเธอที่กำลังประสบปัญหาในแบบของตัวเอง
แต่ปัจจัยที่ทำให้หลายคนหลงรักก็คงจะเป็นการเล่าเรื่องด้วยท่าทีที่เรียบง่ายผ่านการจับจ้องชีวิตของวัยรุ่นที่ทั้งปั่นป่วน วุ่นวาย และไม่เป็นไปตามที่หวัง ซึ่งด้านหนึ่งนอกจากจะสะท้อนตัวตนที่เต็มไปด้วยบาดแผลแล้ว มันยังเผยให้เห็นถึงความสัมพันธ์และสุนทรียภาพอันมีชีวิตชีวาของตัวละครที่ช่วยกันปลอบประโลมจิตใจอย่างอบอุ่น จนไม่น่าเชื่อว่าผลงานที่ดัดแปลงมาจากมังงะชื่อเดียวกันของ Misaki Takamatsu ที่มีพื้นหลังอยู่ในรั้วโรงเรียนเป็นส่วนใหญ่ จะสามารถถ่ายทอดเรื่องราวได้น่าจับใจถึงเพียงนี้
สามารถดู Skip and Loafer ได้ทาง Netflix และ Bilibili
Mobile Suit Gundam: The Witch from Mercury Season 2
หากมีซีรีส์อนิเมะสักเรื่องในรอบปีที่คนดูช่วยกันคิดและตีความทฤษฎีต่างๆ ออกมา หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้น Mobile Suit Gundam: The Witch from Mercury ที่กลับมาอีกครั้งหลังจากสร้างปรากฏการณ์อันเลื่องชื่ออย่าง ‘ซอสมะเขือเทศ’ เอาไว้ในตอนสุดท้ายของซีซันแรก
โดยคราวนี้ซีรีส์ได้พาไปดูเรื่องราวความสัมพันธ์ของ Miorine Rembran ที่ย่ำแย่ลงหลังจากที่ Suletta Mercury ฆ่าคนเพื่อช่วยเหลือเธอ แต่ดูเหมือนว่าไฮไลต์สำคัญที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในซีซันนี้จะไม่ได้อยู่ที่สองตัวเอก หรือความจริงของ Aerial ซึ่งเป็นปริศนาใหญ่ (ส่วนหนึ่งก็เพราะหลายคนเดาถูก) แต่เป็นการเติบโตของยอดชายผู้เย่อหยิ่งที่อย่าง Guel Jeturk ที่ตกระกำลำบากจนต้องระหกระเหินไปตามสถานที่ต่างๆ และทำให้เราเห็นถึงพัฒนาการที่ดูต่างจากเดิมของเขาราวกับเป็นคนละคน
แต่ทั้งนี้ The Witch from Mercury ก็เป็นซีรีส์กันดั้มที่มีจำนวนตอนสั้นมากเมื่อเทียบกับมาตรฐานทั่วไปที่เคยทำออกมา และด้วยความที่มีเวลาในการเล่าเรื่องน้อย รายละเอียดบางส่วนเลยไม่ได้รับการเฉลยเท่าที่ควร โดยเฉพาะในซีซันสองที่เปิดตัวมาอย่างเข้มข้น หลังจากที่ซีซันแรกทำมาตรฐานเอาไว้ดี แต่เพราะปัจจัยข้างต้นทำให้การขยายพื้นหลังตัวละคร รวมไปถึงความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธ์ุถูกลดทอนลง (แม้เดิมทีผู้สร้างตั้งใจจะให้เป็นแบบนั้นก็ตาม) ซึ่งแง่หนึ่งมันส่งผลต่อภาพรวมของซีรีส์ที่กล้าเปลี่ยนแปลงตัวเองเรื่องนี้ไปโดยปริยาย
สามารถดู Mobile Suit Gundam: The Witch from Mercury Season 2 ได้ทาง Netflix, Bilibili และ GundamInfo
Jujutsu Kaisen Season 2
ไม่รู้ว่าเพราะความบังเอิญหรือตั้งใจ ในขณะที่ Jujutsu Kaisen Season 2 กำลังออกฉาย ทาง Gege Akutami ก็ได้ปล่อยมังงะตอนที่ 236 ออกมา และทำให้คนอ่านทั่วโลกถึงกับช็อกไปตามๆ กัน เมื่อผลลัพธ์ของการต่อสู้ระหว่างสองตัวละครอย่าง Satoru Gojo กับ Sukuna มาถึงบทสรุปด้วยการฆ่าหนึ่งในตัวละครยอดนิยมที่สุดโดยไม่มีความลังเล
แต่ก็อย่างที่หลายคนรู้กัน Jujutsu Kaisen Season 2 นอกจากจะว่าด้วยความสัมพันธ์ของ Gojo, Ieiri Shouko และ Suguru Geto สมัยเป็นนักเรียนไสยเวท ครึ่งหลังของมันก็คือจุดเริ่มต้นของความเคล้าน้ำตาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น การที่กลุ่ม Kenjaku บุกยึดชิบูย่า, Gojo ถูกผนึก, Sukuna ทำลายเมือง หรือแม้กระทั่งการตายของตัวละครสำคัญก็ล้วนอยู่ในช่วงเวลานี้เช่นกัน ฉะนั้นการกลับมาของซีรีส์จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะสร้างความตื่นเต้นให้กับใครหลายคน โดยเฉพาะเมื่อเรื่องราวอยู่ในจุดที่ดุเดือดและสูญเสียมากที่สุดครั้งหนึ่งของ Jujutsu Kaisen
ถึงแม้ปัจจุบัน MAPPA จะมีปัญหาเรื่องการทำงาน แต่ภาพรวมของซีรีส์ก็ถือว่ายังอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ ส่วนหนึ่งก็เพราะอนิเมะขยายฉากต่อสู้และนำเสนอคาแรกเตอร์ตัวละครซึ่งเป็นจุดเด่นตั้งแต่มังงะได้ดี จนส่งผลต่ออารมณ์ของคนดูโดยตรงยามที่พวกเขาเห็นตัวเอกต้องสูญเสียคนสำคัญไปจากเหตุการณ์ต่างๆ
แต่ความบันเทิงก็เกิดขึ้น เมื่อช่วงท้ายของตอนที่ 41 ซีรีส์ได้ใส่เพลง SPECIALZ เข้ามาในจังหวะที่นำพาความรู้สึกไปสู่จุดที่จมดิ่ง ทำให้หลังจากฉายจบมันกลายเป็นมีมว่อนทั่วอินเทอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็คงไม่เกินจริงหากบอกว่าถ้า Jujutsu Kaisen Season 2 จบ สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำอาจไม่ได้มีแค่เรื่องราวที่เข้มข้น แต่เป็นความขำขันที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของคนดูในการใส่เพลงนี้
สามารถดู Jujutsu Kaisen Season 2 ได้ทาง Netflix, iQIYI, Bilibili, TrueID, Prime Video และ YouTube (ULTRA)
Frieren: Beyond Journey’s End
ตามธรรมเนียม อนิเมะแนวแฟนตาซีส่วนใหญ่มักเล่าเรื่องของกลุ่มผู้กล้าจากจุดที่รวมตัวกันไปจนถึงการคว้าชัยและทำให้โลกสงบสุข แต่ Frieren: Beyond Journey’s End นั้นตรงข้ามตามชื่อเรื่อง มันเริ่มจากสิ้นสุดเพื่อจับจ้องการเดินทางครั้งใหม่ของ Frieren นักเวทสาวเผ่าเอลฟ์ที่ดูเย็นชาไร้ความรู้สึก ทว่าหลังจากการตายของผู้กล้า Himmel เธอที่ตระหนักว่าตัวเองไม่เคยเข้าใจมนุษย์ จึงตัดสินใจออกท่องไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อรำลึกถึงความทรงจำที่มีร่วมกับพวกเขา
แม้จะดูเรียบง่าย แต่ซีรีส์ก็บอกเล่าเรื่องหนึ่งที่โดดเด่นจากเพื่อนร่วมทีมเดียวกันนั่นคือ การพูดถึงความเปลี่ยนแปลงและความสำคัญของการจากลา ซึ่งไม่มากไม่น้อย Frieren: Beyond Journey’s End สะท้อนแง่มุมที่ใกล้ตัวมนุษย์มากกว่าที่จะหลุดออกจากความจริง ที่สำคัญถึงแม้จะดำเนินเรื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่มันก็มีจังหวะที่กระชับและตรงประเด็น จนไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลายคนถึงชื่นชอบ เพราะนอกจากจะมีเนื้อหาที่ลึกซึ้งในคราบของโทนเรื่องที่สบายแล้ว งานภาพก็เป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตา ไม่ใช่แค่ในช่วงที่ผ่อนคลายหรือโรแมนติกเท่านั้น แต่รวมไปถึงฉากแอ็กชันที่จริงจังด้วยเช่นกัน
และเมื่อมองภาพรวมทั้งหมด หากคุณรักพัฒนาการตัวละครในรูปแบบเดียวกับ Violet Evergarden (2018) ซีรีส์อนิเมะเรื่อง Frieren: Beyond Journey’s End ก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมแก่การดูทุกประการ
สามารถดู Frieren: Beyond Journey’s End ได้ทาง Netflix, iQIYI, Prime Video และ TrueID
The Apothecary Diaries
ปฏิเสธไม่ได้ว่า The Apothecary Diaries มีพื้นหลังที่น่าสนใจ โดยมันว่าด้วยเรื่องของ Maomao สาวน้อยหมอยาที่ถูกลักพาตัวมาจากสถานเริงรมย์ย่านโคมแดง แต่ด้วยความเฉลียวฉลาดทำให้เธอจับพลัดจับผลูกลายเป็นสาวใช้ในวังหลัง และคอยทำหน้าที่ตรวจสอบพิษให้กับนางสนมประจำตำหนัก กระทั่งคดีปริศนาต่างๆ เริ่มเกิดขึ้น Jinshi ขันทีหน้าตาดีที่ถูกส่งเข้ามาดูแลความเรียบร้อย จึงได้ต่อรองกับเธอเพื่อขอให้ช่วยหาคำตอบแลกกับยาหายากตามที่ต้องการ
หากมองจากพล็อตเรื่องคงมีไม่บ่อยนักที่มังงะหรืออนิเมะญี่ปุ่นจะหยิบเอากลิ่นอายของวัฒนธรรมจีนมาใช้ แต่ The Apothecary Diaries คือซีรีส์ที่อยู่ในขอบข่ายนั้น เมื่อมันถ่ายทอดชีวิตของผู้คนขนานกับยุคราชวงศ์ที่ไม่เพียงแค่ให้ความสำคัญกับรายละเอียดของงานภาพและตัวละคร แต่ยังผสมผสานการเล่าเรื่องในสไตล์ญี่ปุ่น-จีน โดยที่ยังคงไว้ซึ่งหัวใจสำคัญของการสืบสวนสอบสวน โรแมนติก ดราม่า และปรัชญา ได้อย่างลงตัว
ขณะเดียวกันระหว่างทางซีรีส์ก็สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับการรักษาคนไข้และสมุนไพรจีนเอาไว้ ทำให้ด้านหนึ่งนอกจากความสนุกมันยังมอบความรู้ให้แก่คนดูควบคู่กันไปด้วย แม้ชื่อตัวละครทั้งหมดจะมีรากศัพท์มาจากภาษาจีน แต่ The Apothecary Diaries ก็เป็นซีรีส์อนิเมะที่สามารถนำเสนอเรื่องราวของวังหลังได้อย่างน่าติดตามจริงๆ
สามารถดู The Apothecary Diaries ได้ทาง Netflix
Attack on Titan The Final Season (Part 3)
ตลอดทศวรรษที่ผ่านมาคงมีซีรีส์อนิเมะไม่กี่เรื่องที่แฟนๆ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจบสักทีในแง่ของการชื่นชม Attack on Titan ซึ่งฉายทอดยาวกับชีวิตของผู้คนมานาน 10 ปี ได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดในปีนี้ ด้วยการปิดฉากมหากาพย์การตามหาอิสรภาพอย่างยิ่งใหญ่และสมศักดิ์ศรีที่สุดเท่าที่โลกอนิเมะเคยมีมา
ไม่จำเป็นต้องอธิบายเลยว่าทำไม Attack on Titan The Final Season (Part 3) ถึงเป็นผลงานที่ทุกคนต่างตั้งตารอ เพราะกิตติศัพท์ที่ซีรีส์สั่งสมความยอดเยี่ยมมาตลอดก็เป็นเครื่องการันตีว่า นี่จะต้องเป็นบทสรุปที่ตราตรึงใจไปอีกหลายปี
และการที่ Hajime Isayama ผู้อิ่มเอมกับน้ำตา ได้เพิ่มรายละเอียดความสัมพันธ์ของตัวละครเข้าไป ก็เป็นเหมือนบทสรุปที่ตอบคำถามสำคัญ เมื่อสองเพื่อนรักอย่าง Eren Yeager และ Armin Arlert นั่งคุยกันท่ามกลางภาพสะท้อนของหายนะที่เกิดจากพิภพคำราม พร้อมบอกว่าคนที่ชักจูงให้เด็กหนุ่มถลำลึกมาจนถึงปัจจุบันก็คือ Armin ที่นอกจากความหลงระเริงในพลังราวกับคนบ้าของ Eren คนที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่าง คือเขาที่เป็นคนจุดประกายความฝันนั้น
แล้วอิสรภาพที่แท้จริงหน้าตาเป็นแบบไหน? ด้าน Isayama เองก็เคยถูกถามในลักษณะนี้ แต่เขากลับให้คำตอบสุดเรียลว่า “ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอิสรภาพที่แท้จริงหน้าตาเป็นแบบไหน” ซึ่งนั่นคงเป็นคำพูดที่นิยามปลายทางของ Attack on Titan ได้จริงที่สุด
สามารถดู Attack on Titan: Final Season – The Final Chapters (Part 3) ได้ทาง Netflix, Bilibili, iQIYI, Prime Video
PLUTO
หากนับตั้งแต่ PLUTO ซึ่งเป็นผลงานที่ Naoki Urasawa ทำออกมาเพื่อเชิดชูให้กับปรมาจารย์มังงะ Osamu Tezuka ออกตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2003 ความยอดเยี่ยมของมันก็ใช้เวลานานถึง 20 ปีพอดีในการสร้างเป็นอนิเมะ และแม้จะหยิบยกเอาโครงเรื่องของ The Greatest Robot on Earth ซึ่งเป็นตอนหนึ่งในผลงานระดับตำนานอย่าง Astro Boy (1952-1968) มาทำใหม่ แต่ด้วยชื่อชั้นของเขาการวางรายละเอียดยิบย่อยที่สะท้อนถึงความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ ย่อมถูกแสดงออกมาผ่านการกระทำและสามัญสำนึกของตัวละครอยู่เสมอ
ซึ่ง PLUTO ก็เป็นเช่นนั้น ที่สำคัญมันไม่ได้ว่าด้วยเรื่องราวของตัวเอกอย่างเจ้าหนูปรมาณูอีกต่อไป หากแต่เป็น Gesicht หุ่นยนต์นักสืบที่ถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในหุ่นยนต์ที่ทรงประสิทธิภาพสูงที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา ซึ่งในตอนนี้กำลังเผชิญกับคดีฆาตกรรมปริศนา เมื่อศพที่พบถูกทำสัญลักษณ์รูปเขาสัตว์บนหัว โดยไม่รู้เลยว่าคนร้ายที่แท้จริงเป็นใคร
แต่ความหลักแหลมของ Urasawa ในเรื่องนี้คือ เขาออกแบบตัวละครทั้งหมดให้มีความตื้นลึกหนาบางอย่างมีเหตุผล ผ่านการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของมนุษย์กับหุ่นยนต์ หุ่นยนต์กับหุ่นยนต์ หรือแม้กระทั่งมนุษย์กับมนุษย์ เข้าด้วยกัน ซึ่งด้านหนึ่งทำให้การสำรวจแง่มุมของสรรพชีวิตทำออกมาได้ราวกับมีเลือดเนื้อจริงๆ
และคำพูดที่เหมาะสมสำหรับการปิดท้ายเรื่องราวของ PLUTO มากที่สุดก็อาจจะต้องขอยืมมาจาก Junot Díaz นักเขียนชาวอเมริกันเจ้าของรางวัลพูลิตเซอร์ สาขานวนิยาย ประจำปี 2008 ที่เคยพูดเอาไว้ว่า “Naoki Urasawa คือสมบัติชาติในญี่ปุ่น” เพราะผลงานชั้นครูที่เต็มไปด้วยความลึกซึ้งตลอดเส้นทางอาชีพของเขาคือสิ่งที่ไม่มีใครสามารถเลียนแบบและเป็นเรื่องราวที่คุณควรลองดูมันสักครั้ง
สามารถดู PLUTO ได้ทาง Netflix