เมื่อเช้าตอนวิ่งผมได้ฟังพอดแคสต์ของพี่หนุ่ม Money Coach ไปด้วยครับ พี่หนุ่มได้เล่าให้ฟังถึงลูกศิษย์คนหนึ่งที่เป็นเด็กหนุ่มเพิ่งจบรามคำแหงมาได้ไม่นาน มีความฝันแรงกล้าที่อยากทำธุรกิจฟิตเนสและสุขภาพ ลองนึกภาพว่าเด็กคนหนึ่งที่บ้านไม่มีเงิน มีแต่ความฝัน แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว
โค้ชบอกเขาว่า ถ้าเกิดเรามีทรัพยากรมาทำความฝันให้เป็นจริงไม่พอ เราก็ต้องหยิบยืมคนอื่น ลูกศิษย์คนนี้อยากทำธุรกิจอาหารเสริม สิ่งที่เขาทำคือไปตามฟิตเนสต่างๆ เห็นคนไหนนั่งพักก็เข้าไปคุยว่าอยากจะทำธุรกิจอาหารเสริม แล้วเริ่มต้นเล่าไอเดียให้ฟัง
พี่หนุ่มก็ถามว่า เฮ้ย แล้วอยู่ดีๆ เข้าไปคุยแล้วคนเขาไม่เหวอเหรอ น้องคนนี้ก็บอกว่ามีบ้าง แต่เขาคิดว่าไม่เสียหายอะไร อย่างมากคนก็ไม่คุยด้วย ซึ่งเขาก็จะไปเล่าให้คนอื่นฟังต่อ
ตอนเอาแผนธุรกิจไปคุยกับคนที่ฟิตเนสเขาไม่รู้เลยว่าผลจะเป็นอย่างไรบ้าง แค่รู้ว่าถ้าไม่พูดก็ไม่ได้ พูดไปอย่างมากก็โดนปฏิเสธ
สุดท้ายเขาเจอเทรนเนอร์ชื่อดังระดับประเทศคนหนึ่งที่ยินดีมาร่วมงานด้วยเพราะฟังไอเดียแล้วชอบ ในขณะเดียวกันก็เจอคุณหมออีกท่านที่เก่งด้านโภชนาการที่ฟังไอเดียแล้วชอบเหมือนกัน
สุดท้ายได้ทั้งเงินทุนและทีมงาน จนทุกวันนี้เป็นธุรกิจ จนกลายเป็นธุรกิจ Planforfit ที่เป็นที่รู้จักกันในปัจจุบัน
ถามว่าที่น้องคนนี้ได้ทำตามความฝันเพราะเขาโชคดีหรือเปล่า?
ก่อนจะตอบ ผมต้องบอกว่ามีหลายคนมากครับที่มักสับสนคำว่า ‘โชค’ กับ ‘โชคชะตา’ โดยคิดว่ามันเหมือนกัน ผมมีความเชื่อว่ามันไม่เหมือนกันครับ เพียงแต่มันเกี่ยวข้องกัน
สำหรับผม (และอีกหลายๆ คน) โชคชะตาเป็น Subset ของโชค เวลามีคนบอกว่าคุณโชคดีจัง ความหมายที่คนส่วนใหญ่ชอบคิดคือ ‘โชคชะตา’ ของคุณดีจัง ราวกับว่าโชคดีที่ได้มานั้นนอกเหนือจากการควบคุมของคุณโดยสิ้นเชิง อันนี้เอาไว้ใช้ตอนถูกลอตเตอรี่นะครับ
ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถควบคุมโชคของเราได้ และอัตราส่วนที่เราควบคุมได้จะขึ้นอยู่กับอัตราส่วนการทำงานหนักของเรา
ยิ่งเราทำงานหนักเท่าไร โชคชะตาก็จะมีผลต่อโชคของเราน้อยเท่านั้นครับ
ลองนึกภาพตามนะครับ คุณเป็นสตาร์ทอัพที่มีความฝัน และกำลังจะทำอะไรเจ๋งๆ แต่ยังขาดเรื่องเงินอยู่ ตอนนี้คุณก็กำลังหาทางออกหลายๆ ทางอยู่
คุณกำลังนั่งอยู่บนเครื่องบินจากกรุงเทพฯ จะเดินทางไปเชียงใหม่ที่ริมหน้าต่าง คุณเก็บคอมพิวเตอร์ไว้ในที่เก็บสัมภาระด้านบนเรียบร้อย คุณกำลังจะหลับ เพราะคุณชอบจะหลับอยู่เรื่อยเวลาเครื่องบินจะขึ้นหรือลง
ทันทีที่ผู้โดยสารคนข้างๆ คุณนั่งลง คุณก็แทบช็อกเพราะเขาคือ VC ตัวพ่อของประเทศไทยที่มีเม็ดเงินที่สามารถจะลงทุนในสตาร์ทอัพได้เป็นพันล้าน
อันนี้เรียกโชคชะตาครับ คุณไม่มีทางรู้เลยว่าคุณจะได้นั่งคู่กับ VC ท่านนี้
คุณตัดสินใจที่จะ Pitch งานกับ VC ท่านนั้น ที่เหลือคือสิ่งที่คุณทำมาในอดีตครับ ถ้าคุณมีความรู้ในงานของคุณไม่ลึกพอ ไม่เข้าใจธุรกิจดีพอ แน่นอนว่าการ Pitch ครั้งนี้จะจบลงด้วยการที่คู่สนทนาของคุณอยากรีบๆ ฟังให้จบเพื่อไปทำอย่างอื่นต่อ
แต่ถ้าคุณเตรียมพร้อมตลอดเวลา คุณมี Pitching Dialog อยู่ในหัวตลอดเวลา แม้ไม่ต้องมีคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องมีกระดาษ ไม่ต้องมีอะไรเลย คุณก็สามารถสร้างภาพของความฝันของคุณให้ไปอยู่ในหัวของคู่สนทนาได้
ถ้าเป็นอย่างหลังคุณจะได้รับเงินลงทุนที่คุณตามหามาตลอด
อีกสองสัปดาห์สตาร์ทอัพของคุณก็ได้เป็นข่าวทั่วโซเชียลมีเดีย เพราะมี VC ใหญ่มาลงทุน คุณบอกว่าคุณโชคดีมากที่คุณเจอ VC คนนั้นบนเครื่องบิน
จริงๆ แล้วความหมายของ ‘โชคดี’ คืออะไรกันแน่?
เด็กหนุ่มวัย 14 มองดูจดหมายปฏิเสธการรับเรื่องสั้นของเขาจากสำนักพิมพ์ต่างๆ ที่ถูกแขวนไว้บนตะปูตัวหนึ่งที่ตอกเข้ากับฝาบ้าน หลังจากพิจารณาแล้วเด็กหนุ่มคิดว่าต้องเปลี่ยนตะปูตัวเล็กเป็นตะปูตัวใหญ่ดีกว่า เพราะดูแล้วมันคงรับน้ำหนักคำปฏิเสธที่ดูท่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ไหว
หลังจากเปลี่ยนขนาดตะปู จดหมายปฏิเสธก็ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็ยังก้มหน้าก้มตาเขียนต่อไป
เด็กหนุ่มคนนี้เกิดในครอบครัวที่ยากจนและไม่มีพ่อ ส่วนแม่ซึ่งเป็นพนักงานในร้านอาหารมีรายได้แทบไม่พอจะเลี้ยงครอบครัว เขาจึงต้องทำงานตั้งแต่เด็ก นอกจากงานรับจ้างทั่วไปที่ช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินของแม่แล้ว เขายังใช้เวลาช่วงกลางคืนเขียนเรื่องสั้นที่ตัวเองชอบ โดยส่งไปที่สำนักพิมพ์ต่างๆ ซึ่งเรื่องส่วนใหญ่เกือบร้อยทั้งร้อยโดนปฏิเสธ แม้จะมีบางเรื่องที่ผ่านและได้ค่าตีพิมพ์มาบ้าง แต่มันก็เล็กน้อยเสียจนไม่อาจนำมาจุนเจือครอบครัวได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมุ่งมั่นเขียนเรื่องสั้นต่อไปเพื่อหาทางส่งตัวเองเรียนมหาวิทยาลัย
เขามีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นครู แต่เมื่อเรียนจบ เขาสอบไม่ผ่านการรับบรรจุเป็นครูจึงต้องเขียนเรื่องสั้นเพื่อหาเลี้ยงชีพ ต่อมาอีกไม่นานเขาก็แต่งงานกับคู่รักสมัยเรียน
ถึงจุดนี้ การเขียนเรื่องสั้นของเขาไม่พอเลี้ยงครอบครัวแล้ว สองสามีภรรยาต้องทำงานหลายงานโดยไม่เกี่ยง ตั้งแต่งานในร้านอาหารไปจนถึงงานในปั๊มน้ำมัน อะไรก็ได้ที่จะสามารถซื้ออาหารมาวางบนโต๊ะของทั้งสอง
ในวันแต่งงาน ทั้งคู่ถึงกับต้องขอยืมชุดสวยๆ จากเพื่อนเพื่อมาใส่เข้าพิธีของตัวเองเพราะไม่มีเงินซื้อ
พวกเขามีชีวิตอย่างอัตคัดและต้องอาศัยอยู่ในรถแวนที่ดัดแปลงมาเป็นบ้าน เพราะการมีที่อยู่เป็นเรื่องไกลเกินฝัน แม้แต่โทรศัพท์ที่ติดอยู่ในรถบ้านเคลื่อนที่ก็ยังต้องยกออก เพราะว่ามันเป็นของฟุ่มเฟือยเกินกว่าที่คนทั้งสองจะสามารถมีได้
ชายหนุ่มลองเปลี่ยนมาเขียนนวนิยายแบบยาวดูบ้าง แต่ผลตอบรับก็ไม่ได้ดีไปกว่าเดิมนักในตอนแรก แต่ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่หัวมุมถนนเสมอ หลังจากได้รับการปฏิเสธจากสำนักพิมพ์ 60 กว่าแห่ง ในที่สุดนวนิยายเรื่อง Carrie ก็ได้รับการตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ DoubleDay
วันที่หนังสือได้ตีพิมพ์มีแต่คนรอบข้างบอกว่าเขา ‘โชคดี’ และเป็นจุดเริ่มต้นของหนังสือ Best Seller อีกหลายสิบเล่มที่ตามออกมา
หนังสือเรื่อง Carrie ได้รับการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ถึง 3 ครั้ง
นักเขียนหนุ่มคนนี้ชื่อ Stephen King เจ้าของผลงานหนังสือ Best seller อย่าง The Green Mile, The Mist, Night Shift, Dream Catcher และ The Dark Tower
มีภาพยนตร์ที่สร้างโดยอิงเค้าโครงจากงานเขียนของเขากว่า 20 เรื่อง เขากลายมาเป็นหนึ่งในนักเขียนนวนิยายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก
เขา ‘โชคดี’ เหมือนที่คนอื่นบอกจริงๆ หรือ
Wayne Gretzky นักฮอกกี้ในตำนานเคยกล่าวไว้ว่า “I skate to where the puck is going to be, not where it has been.” (ผมจะสเกตไปยังจุดที่ลูกฮอกกี้จะไป ไม่ใช่จุดที่มันเคยอยู่)
คุณออกแบบโชคของตัวเองได้ครับ
ภาพประกอบ: Pichamon Wannasan