เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย กล่าวในการร่วมเวที THE STANDARD Economic Forum 2023 ในหัวข้อ ‘Thailand’s Political Power Game อ่านเกมอำนาจใหม่การเมืองไทย’ ว่า ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง อยากนำเสนอต่ออำนาจรัฐปัจจุบันและพรรคฝ่ายค้าน ได้ทำให้ประชาชนเห็นว่าหลังการเลือกตั้ง 2566 เกิดสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา บ้าง เพื่อให้ประชาชนเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างน้อยที่สุดได้ขยับประเทศไทยไปข้างหน้า
ณัฐวุฒิยกตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องเกิด ต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ กฎหมายก้าวหน้าต่างๆ กฎหมายสมรสเท่าเทียมและสุราก้าวหน้าจะต้องเกิด รวมไปถึงกฎหมายที่ให้การคุ้มครองอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนที่ถูกปราบปรามโดยอำนาจรัฐที่จะต้องเกิด ผู้สั่งการให้มีการใช้กำลังเจ้าหน้าที่รัฐพร้อมอาวุธปราบปรามประชาชนจะลอยนวลเหมือนในอดีตที่ผ่านมาไม่ได้ ซึ่งหมายความว่าเหตุการณ์เมื่อปี 2552 และ 2553 หรืออื่นๆ หลังจากนั้นต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะเป็นหลักประกันให้กระบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในอนาคตด้วย
“ที่สำคัญ ผมขอเรียกร้องให้อำนาจรัฐและฝ่ายค้านปัจจุบัน ผลักดันวาระนิรโทษกรรมผู้ต้องหา ผู้ต้องคดีความ ผู้ต้องขังทางการเมือง ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ทุกค่าย ทุกสี ทุกข้อกล่าวหา ทุกบทบัญญัติ ทุกข้อกฎหมาย ไม่มีการยกเว้น ถ้าจะเว้นก็คือความผิดอันเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชัน และความผิดซึ่งเกิดผลถึงแก่ชีวิต ทั้งต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่” ณัฐวุฒิกล่าว
ณัฐวุฒิกล่าวว่า สำหรับผู้ต้องคดีความตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น ก็ควรจะต้องอยู่ในกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนี้ด้วย เพราะเงื่อนไขทางการเมืองปัจจุบัน การจับขั้วทางการเมืองในรัฐบาลปัจจุบัน ทำให้เกิดการแบ่งฝักฝ่าย แบ่งข้างทางการเมือง ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา มันพร่าเลือนและแทบจะไม่มีเส้นแบ่งตรงนั้นไปแล้ว และหลายฝ่ายก็อธิบายว่านั่นคือสัญญาณเริ่มต้นของการปรองดองสมานฉันท์ ต่อไปการเมืองสู้กันในระบบ สู้กันในสนามเลือกตั้ง หากจะเป็นเช่นนั้นก็ต้องปลดโซ่ตรวนพันธนาการให้คนหนุ่มคนสาวที่ต้องคดีความด้วย
ณัฐวุฒิกล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2563 เราเอาลูกไปขังไปตีแล้วเท่าไร และต้องถามว่าพอหรือยัง และถึงเวลาหรือยังที่หยิบยื่นอ้อมกอดของความเมตตาให้คนหนุ่มสาวเหล่านั้น ไม่ว่าจะคิดตรงหรือคิดต่าง ได้กลับมาเดินบนวิถีทางแห่งอนาคต ได้เดินหน้าเข้าห้องเรียน และเดินหน้าสู่โลกอาชีพ แล้วก็ได้ยืนอย่างมีเกียรติยศศักดิ์ศรี มีเสรีภาพทางความคิด และมีประสบการณ์ผ่านความเจ็บปวดจากการต่อสู้ เพื่อให้พวกเขาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเข้มแข็ง และเข้าใจความจริงของประเทศในการเดินไปข้างหน้า
ณัฐวุฒิกล่าวว่า การปล่อยให้คนหนุ่มสาวยุคหนึ่งสมัยหนึ่งเผชิญหน้ากับกฎหมายมาตราใดมาตราหนึ่งเพียงลำพัง ไม่สามารถทำให้สังคมไทยทั้งสังคมเดินไปข้างหน้าได้จริง ซึ่งไม่ควรมียุคสมัยใดมีใครถูกจำขังเพราะความคิดที่แตกต่าง และจะต้องไม่มียุคสมัยใดมีใครถูกโบยตีเพียงเพราะเห็นไม่ตรงกับอำนาจรัฐไปบ้าง
“ผมไม่ได้บอกว่าถ้านิรโทษกรรมกันแล้ว ใครอยากจะทำอะไรก็ทำ ใครอยากพูดอะไรก็ว่ากันไป ซึ่งไม่ได้เป็นการพูดส่งเสริมให้พ้นผิด หรือส่งเสริมให้ไม่รับผิดชอบต่อการกระทำ แต่กำลังบอกว่าหากมีการนิรโทษกรรมไปแล้ว กลไกรัฐจำเป็นจะต้องมีกระบวนการในการพิจารณาการบังคับใช้กฎหมายแต่ละบทบัญญัติ แต่ละมาตราให้ชอบด้วยหลักนิติธรรม ลดแรงเสียดทานและลดการถูกตั้งคำถามเรื่องหลักนิติธรรมให้มากที่สุด เพราะอยากเห็นคนหนุ่มคนสาวรอดจากคดีความ คนที่ลี้ภัยไกลบ้านได้เห็นว่าบ้านหลังนี้เปิดต้อนรับ ส่วนเขาจะกลับหรือไม่กลับก็เป็นเสรีภาพของแต่ละคน” ณัฐวุฒิกล่าว
ติดตามเนื้อหาฉบับเต็มได้ที่: https://youtu.be/JvTCkXsXvas