เป้าหมายที่ ‘จิม ทอมป์สัน’ อยากเป็นแบรนด์ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ระดับโลกแบรนด์แรกจากเอเชีย ด้วยการเปิด Jim Thompson Heritage Quarter อาณาจักรไลฟ์สไตล์หมุดหมายใหม่ที่ตั้งใจสร้างมาเพื่อจับกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะ
“สำหรับ Jim Thompson Heritage Quarter นั้นสร้างมาเพื่อเป็นแลนด์มาร์กทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว มีพื้นที่อยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ประกอบไปด้วยร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์บ้านจิมทอมป์สัน ตามด้วยนิทรรศการ Museum About the Man บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของจิม ทอมป์สัน และนิทรรศการ The Evolving World of Jim Thompson Textiles ความเป็นมาของผืนผ้าและผลิตภัณฑ์หลากหลายจากแบรนด์ รวมถึง Moonlight Hall ห้องจัดงานอีเวนต์ เรียกได้ว่าสามารถตอบโจทย์นักท่องเที่ยวต่างชาติได้เป็นอย่างดี” แฟรงก์ แคนเซลโลนี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจภายใต้แบรนด์ จิม ทอมป์สัน กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ไทยจะกลับไปมีนักท่องเที่ยว 40 ล้านคนได้ไหม?
- Jim Thompson เปิดตัวโซนร้านอาหารไทยโฉมใหม่และบาร์ลับที่ซ่อนอยู่ข้างบน
- 5 จุดเช็กอิน ‘Jim Thompson Heritage & Creative Quarter’ อาณาจักรครบวงจรของบ้านจิม ที่มีทั้งช็อป มิวเซียม จนถึงคาเฟ่
โดยปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกกว่า 320,000 คน เข้ามาเยี่ยมชมในทุกๆ ปี ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวอเมริกัน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น จีน และเกาหลี และเป้าหมายจากนี้ Jim Thompson Heritage Quarter จะกลายเป็นแบรนด์ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ระดับโลกแบรนด์แรกของเอเชีย
ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้กลยุทธ์การจับมือกับพาร์ตเนอร์ธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น PAÑPURI WELLNESS, การบินไทย และดีไซเนอร์ชื่อดังเมืองไทย พร้อมทั้งเตรียมจับมือกับแบรนด์ระดับโลก เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ และรักษาฐานลูกค้าเดิมไปพร้อมๆ กัน
ส่วนกลุ่มธุรกิจจิม ทอมป์สัน ที่ผ่านมาได้เปิดสโตร์โฉมใหม่ในเมืองท่องเที่ยวหลายสาขา เริ่มตั้งแต่พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ และจากนี้เตรียมจับมือกับ King Power เปิดสโตร์ใหม่ในคิง เพาเวอร์ ภูเก็ต และสนามบินดอนเมือง
อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือเตรียมเปิดไลฟ์สไตล์สโตร์ ขนาด 500 ตร.ม. ถือเป็นสโตร์ที่ใหญ่ที่สุดในเมกะโปรเจกต์อย่าง One Bangkok ที่กำลังจะเปิดด้วยเช่นกัน
ปัจจุบัน จิม ทอมป์สัน มีสโตร์ทั้งหมด 25 แห่งในประเทศไทย โดยสินค้ายอดนิยมของแบรนด์ ได้แก่ เสื้อผ้า Ready-to-Wear, ผ้าพันคอ, กระเป๋า และเครื่องประดับ ไอเท็มทุกชิ้นของแบรนด์ออกแบบขึ้นจากทั้งผ้าไหมและวัสดุที่เป็นเอกลักษณ์ ผลิตจากโรงงานที่มีอยู่ทั้ง 3 แห่งในประเทศไทย ซึ่งยังเหลือพื้นที่พร้อมขยายธุรกิจให้สอดรับดีมานด์ของลูกค้าต่างชาติ
ขณะที่ธุรกิจแฟชั่น เรามีจุดขายและชื่อเสียงในเรื่องของคุณภาพและความสวยงาม ซึ่งได้มีการเปิดตัวเสื้อผ้าแบบ Ready-to-Wear ตลอดจนเครื่องประดับ และกระเป๋าคอลเล็กชันใหม่ๆ เข้ามาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนไทยและชาวต่างชาติทั่วโลก ควบคู่กับการพัฒนาเว็บไซต์สั่งซื้อสินค้าออนไลน์ในตลาดสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และฮ่องกง เพื่อเข้ามาเสริมแกร่งยอดขายไปพร้อมกับไทย
นอกจากนี้อีกหนึ่งธุรกิจหลักของจิม ทอมป์สัน คือสินค้าผ้าตกแต่งบ้านที่ผลิตและออกแบบมาจากลวดลายผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ตอบโจทย์ฟังก์ชันการใช้งาน ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี เห็นได้จากโรงแรมชั้นนำระดับโลกประมาณ 35% ในลิสต์ The World’s 50 Best Hotels เลือกใช้สินค้าผ้าตกแต่งของจิม ทอมป์สัน
อีกทั้งบริษัทยังมีเครือข่ายการจัดจำหน่ายสินค้าผ้าตกแต่งของจิม ทอมป์สันอยู่ในกว่า 60 ประเทศ และในยุโรปยังมีการจัดจำหน่ายผ้าอยู่ใน 28 ประเทศ
แคนเซลโลนีกล่าวต่อถึงทิศทางและแผนงานลงทุนใน 3-5 ปี บริษัทวางงบไว้ 100-150 ล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนในโปรเจกต์ใหม่ โดยโฟกัสที่ธุรกิจโรงแรม Jim Thompson Hotel ซึ่งจะนำธุรกิจที่มีอยู่เข้ามาต่อยอดได้ รวมถึงธุรกิจของใช้ในบ้านภายใต้ชื่อ Maison Jim Thompson ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาตลาด คาดว่าจะได้เห็นในปี 2026
อย่างไรก็ตาม งบลงทุนจะยังไม่รวมการสร้างโรงแรม เพราะธุรกิจโรงแรมจะเป็นการทำร่วมกับพาร์ตเนอร์รายใหญ่ เราเชื่อว่าเมื่อธุรกิจทุกอย่างแล้วเสร็จ จะเป็นการก้าวไปสู่การเป็นแบรนด์ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ชั้นนำจากเอเชียได้อย่างรวดเร็ว
