×

Scott Pilgrim Takes Off ทะลุขอบเขตจินตนาการกับการขยับขยายความคลาสสิกในมุมมองที่แตกต่าง

26.11.2023
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 MIN READ
  • หากนิยามของ Scott Pilgrim vs. the World (2010) คือการย่นย่อนิยามของ Scott Pilgrim Takes Off ก็คงเป็นการทุบทิ้งและสร้างใหม่ เนื่องจากแอนิเมชันไม่ได้หยิบยืมวิธีการดำเนินเรื่องของใครมาใช้เลย หรือถ้าจะพูดให้ถูก มีแค่ตอนแรกเท่านั้นที่เป็นไปตามฉบับภาพยนตร์และการ์ตูน เพราะหลังจากนั้นมันกลายเป็นเรื่องราวในแบบออริจินัลของตัวเองแทบทั้งสิ้น 
  • ไม่ว่าแอนิเมชันเรื่องนี้จะเป็นส่วนต่อขยาย สร้างใหม่ หรือภาคแยก แต่การนำทีมนักแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง Scott Pilgrim vs. the World มาให้เสียงพากย์ตัวละครเดิม ก็ทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาให้กับการดัดแปลงครั้งนี้เป็นอย่างมาก
  • ที่สำคัญ กลิ่นอายของ Scott Pilgrim ยังคงอยู่ครบถ้วนทุกประการ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม เพราะหากไล่เรียงกันตั้งแต่ภาพยนตร์มาจนถึงอนิเมะที่กำลังฉายอยู่ในปัจจุบัน มาตรฐานการดัดแปลงของมันไม่เคยลดลงเลย

หากนิยามของ Scott Pilgrim vs. the World (2010) คือการย่นย่อนิยามของ Scott Pilgrim Takes Off ก็คงเป็นการทุบทิ้งและสร้างใหม่ เนื่องจากแอนิเมชันไม่ได้หยิบยืมวิธีการดำเนินเรื่องของใครมาใช้เลย หรือถ้าจะพูดให้ถูก มีแค่ตอนแรกเท่านั้นที่เป็นไปตามฉบับภาพยนตร์และการ์ตูน เพราะหลังจากนั้นมันกลายเป็นเรื่องราวในแบบออริจินัลของตัวเองแทบทั้งสิ้น 

 

แต่ถึงอย่างนั้น Scott Pilgrim Takes Off ก็ยังคงถ่ายทอดจูบแรกและความปั่นป่วนชวนกระอักกระอ่วนเมื่อต้องเจอกับแฟนเก่าได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ว่าจะไม่ยึดโยงกับแหล่งข้อมูลใดเลยก็ตาม 

 

 

เหมือนเช่นเคย Scott Pilgrim Takes Off ดัดแปลงมาจากนิยายภาพชื่อดังของ Bryan Lee O’Malley ว่าด้วยเรื่องราวของ Scott Pilgrim หนุ่มโทรอนโตที่ไม่มีงานทำ และอาศัยอยู่กับ Wallace เพื่อนรูมเมตที่เป็นเกย์ ก่อนที่เขาจะพบว่าตัวเองถูกดึงดูดเข้าหา Ramona Flowers หญิงสาวชาวอเมริกัน จนนำไปสู่เรื่องราวสุดวุ่นวายเมื่อเขาต้องต่อกรกับแฟนเก่าที่ชั่วร้ายทั้ง 7 คนของเธอ

 

นี่คือพล็อตเรื่องสุดคลาสสิกของ Scott Pilgrim ที่หลายคนรู้จัก แต่สิ่งที่แอนิเมชันเรื่องนี้ทำคือ เปลี่ยนคนดำเนินเรื่องหลักจากหนุ่มมือเบสประจำวงดนตรี Sex Bob-Omb มาเป็นนางเอกอย่าง Ramona แทน หรือเรียกได้ว่านี่เป็นจักรวาลคู่ขนานที่เธอต้องรับมือกับแฟนเก่าและแก้ปัญหาต่างๆ ให้กับพวกเขา ซึ่งตรงข้ามกับต้นฉบับที่จะเป็นเรื่องราวการต่อสู้ของ Scott 

 

ฉะนั้น การอนุมานว่า Scott Pilgrim Takes Off เป็น What If ก็คงจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมมากที่สุด และข้อดีคือ ต่อให้ใครไม่เคยอ่านการ์ตูนหรือดูภาพยนตร์มาก่อนก็สามารถเข้าถึงเรื่องราวของพวกเขาได้โดยไม่จำเป็นต้องศึกษาหาข้อมูลใดๆ ส่วนคนที่เคยผ่านตามาแล้วก็จะได้เห็นเรื่องราวในมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิม 

 

 

ว่ากันตามเนื้อผ้า หัวใจสำคัญของ Scott Pilgrim Takes Off ดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่เรื่องของการต่อสู้เพื่อความรัก หากแต่เป็นการพูดถึงอดีตและการเลือกที่จะเป็น ซึ่งในเส้นเรื่องนี้มันกลายเป็นแกนหลักที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน อีกทั้งพออยู่ในรูปแบบของซีรีส์ที่มีเวลาในการเล่าเรื่อง ก็ทำให้ผู้สร้างมีโอกาสหยิบจับส่วนต่างๆ มาขยายหรือปรับเปลี่ยน เพื่อให้เรื่องราวที่ดำเนินไปตามวิถีทางที่แตกต่างของตัวเองดูน่าติดตามขึ้น 

 

โดยเฉพาะเมื่อนำเสนอด้วยงานภาพสองมิติที่ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับความสมจริงอีกต่อไป ซึ่งสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นที่สุดของแอนิเมชันเรื่องนี้คือ การใช้ Perspective ในการจัดวางองค์ประกอบภาพ เพื่อทำให้สถานที่กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันสถานการณ์ของตัวละคร

 

 

และอีกส่วนที่น่าหยิบมาพูดถึงคือ ฉากแอ็กชันที่นอกจากจะยกระดับจากภาพยนตร์ได้อย่างสนุกสนานด้วยการยำใหญ่ใส่ลีลาของความเป็นญี่ปุ่นลงไปอย่างเต็มตัว การหยิบเอากิมมิกจากเกมต่อสู้ที่เป็นไอคอนิกดั้งเดิมมาปรับใช้ให้ดูเข้ากับบริบทของการนำเสนอมากขึ้นก็สร้างสีสันแก่เรื่องราวได้ไม่ใช่น้อย ที่สำคัญคือ แอนิเมชันเก็บรายละเอียดจากภาพยนตร์และการ์ตูนมาใช้ส่งเสริมเรื่องราวได้อย่างคุ้มค่า เช่น การนำชื่อหนังสือเล่มแรกที่ตีพิมพ์ในปี 2004 อย่าง Scott Pilgrim’s Precious Little Life มาใช้เป็นบทภาพยนตร์และบทละครภายในเรื่อง หรือการใช้ชื่อตอนว่า The World vs. Scott Pilgrim ซึ่งก็บิดมาจากชื่อภาพยนตร์และหนังสือเล่มที่สองอีกทีหนึ่ง

 

แต่ส่วนที่ดูจะเป็นไฮไลต์สำคัญจริงๆ ของ Scott Pilgrim Takes Off ก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้นคือการที่ไม่เหมือนใครเลย ด้วยเหตุนี้ ความเป็นปัจเจกของมันจึงพร้อมที่จะสร้างความประหลาดใจให้คนดูได้ทุกเมื่อ เพราะไม่มีใครรู้เลยว่าเรื่องราวข้างหน้าจะเป็นแบบไหนและจบลงอย่างไร ซึ่งก็เหมาะสมกับการปรับเปลี่ยนเค้าโครงหลักจากการต่อสู้มาเป็นการสืบสวนสอบสวนแทน

 

 

และไม่ว่าแอนิเมชันเรื่องนี้จะเป็นส่วนต่อขยาย สร้างใหม่ หรือภาคแยก แต่การนำทีมนักแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง Scott Pilgrim vs. the World มาให้เสียงพากย์ตัวละครเดิม ก็ทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาให้กับการดัดแปลงครั้งนี้เป็นอย่างมาก เพราะการกลับมารวมตัวกันในรอบ 13 ปีนับตั้งแต่ที่ภาพยนตร์ออกฉาย ก็คงทำให้คนดูที่เคยมีประสบการณ์ร่วมกับภาพยนตร์มาก่อนได้หวนคิดถึงช่วงเวลาที่ได้สัมผัสกับเรื่องราวของพวกเขาในฐานะคนแสดงอีกครั้ง

 

ไม่เพียงแค่นั้น ลูกบ้าของคนทำที่อยากจะเชื้อเชิญคนดูเข้าไปสำรวจโลกของ Scott Pilgrim ในแบบที่ทะลุจินตนาการเหนือคณานับ ก็เป็นสิ่งที่ขยับขยายมิติเรื่องราวจากการ์ตูนและภาพยนตร์ได้อย่างตลกขบขัน หรือถ้าว่ากันตามตรง มันเป็นแอนิเมชันที่ผสมผสานระหว่างความเป็นอเมริกันกับญี่ปุ่นได้อย่างลงตัว โดยที่มีจุดหมายปลายทางในการเล่าเรื่องเป็นของตัวเอง

 

ที่สำคัญ กลิ่นอายของ Scott Pilgrim ยังคงอยู่ครบถ้วนทุกประการ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม เพราะหากไล่เรียงกันตั้งแต่ภาพยนตร์มาจนถึงแอนิเมชันที่กำลังฉายอยู่ในปัจจุบัน มาตรฐานการดัดแปลงของมันไม่เคยลดลงเลย ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชันภาพยนตร์ที่ต้องคำนึงถึงเงื่อนไขระหว่างความเป็นการ์ตูนกับความจริง หรือแอนิเมชันที่มีพื้นที่ให้คนทำสามารถปั้นเสริมเติมแต่งอะไรก็ได้ตามใจนึก ซึ่งในหลายๆ ครั้งมันเต็มไปด้วยความสดใหม่เกินบรรยาย

 

 

โดยสรุป ตลอด 8 ตอนของ Scott Pilgrim Takes Off จึงเป็นอีกหนึ่งมุมมองที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อค้นหาสิ่งแปลกใหม่ในการ์ตูนที่มีอายุเกือบ 20 ปี และก็คงจะไม่เกินจริงนักหากบอกว่าพวกเขาทำสำเร็จ ด้วยการนำตัวละครไปสู่จุดที่แตกต่าง พร้อมกับทำให้จินตนาการเหล่านั้นทำลายข้อจำกัดที่ภาพยนตร์เคยมีมาทั้งหมด

 

นอกจากนี้ยังเป็นการพิสูจน์ว่า เรื่องราวของ Scott Pilgrim นั้นมีพื้นที่ให้คนทำได้ออกสำรวจและใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปอีกมากมายในอนาคต โดยไม่จำเป็นต้องยึดติดกับต้นฉบับก็สามารถสร้างความบันเทิงอย่างถึงที่สุดให้แก่คนดูได้

 

สามารถรับชม Scott Pilgrim Takes Off ได้ทาง Netflix 

 

รับชมตัวอย่างได้ที่: https://youtu.be/dLvRvqByxUI

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising