GDP ญี่ปุ่น หดตัวแรงเกินคาดในไตรมาส 3 เนื่องจากการบริโภคยังคงอ่อนแอจากต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางการอ่อนค่าของเงินเยนและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ด้าน IMF ประเมินว่า ‘ญี่ปุ่น’ จ่อเสียแชมป์เศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกให้ ‘เยอรมนี’ ในปีนี้
วันนี้ (15 พฤศจิกายน) ทางการญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3 ติดลบ 2.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ถือเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 3 ไตรมาส และต่ำกว่าคาดการณ์เฉลี่ยในหมู่นักเศรษฐศาสตร์ที่คาดว่าจะติดลบเพียง 0.6% เท่านั้น
โดยในช่วงไตรมาสที่ 3 พบว่า การบริโภคภาคเอกชนหดตัว 0.2% ต่อปี ในขณะที่การลงทุนของเอกชนลดลง 2.5% ต่อปีจากไตรมาสที่ 2
ในวันเดียวกันทางการญี่ปุ่นยังปรับตัวเลข GDP ไตรมาสแรก เป็นขยายตัว 3.7% และขยายตัว 4.5% ในไตรมาสที่ 2
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า GDP ไตรมาสล่าสุดสะท้อนให้เห็นถึงการบริโภคภาคเอกชนที่ซบเซา โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของญี่ปุ่น ซึ่งไม่รวมอาหารสด ลดลงเหลือ 2.8% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนกันยายน แต่ค่าจ้างจริงรายเดือนโดยเฉลี่ย (Average Monthly Real Wages) ที่ปรับขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อในเดือนเดียวกัน ปรับลดลง 2.4% จากปีก่อนหน้า
ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า GDP ที่อ่อนแอเกินคาดอาจทำให้ความพยายามของธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (GDP) ที่พยายามเลิกใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษ (Ultra-Loose) มีความซับซ้อนและท้าทายมากขึ้น
‘ญี่ปุ่น’ จ่อเสียแชมป์เศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 ของโลกให้ ‘เยอรมนี’
ตามการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) แสดงให้เห็นว่า GDP เยอรมนี มีแนวโน้มที่จะแซงหน้าญี่ปุ่นในปี 2023 เนื่องจากเงินเยนที่อ่อนค่าและอัตราเงินเฟ้อในยุโรปมีส่วนช่วยสนับสนุนมูลค่าของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของเยอรมนีในรูปดอลลาร์สหรัฐ โดยตัวเลขดังกล่าวถูกนำเสนอในรายงาน World Economic Outlook ฉบับล่าสุด
การคาดการณ์ของ IMF ยังคงเน้นย้ำถึงความอ่อนแอในระยะยาวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น
โดยตามรายงานของ IMF ระบุว่า GDP ของญี่ปุ่น (ซึ่งไม่ได้ปรับตามอัตราเงินเฟ้อ) คาดว่าจะลดลง 0.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ 4.23 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ ขณะที่ GDP เยอรมนี คาดว่าจะขยายตัว 8.4% เป็น 4.42 ล้านล้านดอลลาร์
ส่วนสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก คาดว่าจะเติบโต 5.8% ในปีนี้แตะ 26.94 ล้านล้านดอลลาร์ ส่วนเศรษฐกิจของจีนซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกคาดว่าจะหดตัว 1.0% เหลือ 17.7 ล้านล้านดอลลาร์
อ้างอิง: