WeWork บริษัทผู้ให้เช่าพื้นที่สำนักงาน ที่มีลักษณะเป็น Co-working Space ยื่นฟ้องขอคุ้มครองตามกฎหมายล้มละลาย Chapter 11 ในศาลรัฐบาลกลาง รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกาแล้ว เมื่อวันจันทร์ (6 พฤศจิกายน) ตามเวลาท้องถิ่น เหตุบริษัทไม่ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการระบาดใหญ่ของโควิด และไม่สามารถ IPO ได้ตามแผนที่วางไว้
โดยในเอกสาร WeWork ระบุว่า บริษัทมีหนี้สินสูงถึง 1-5 หมื่นล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งระบุว่า บริษัทได้รับการอนุญาตให้ดำเนินงานต่อไป ขณะกำลังทำแผนปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ โดยการยื่นฟ้องล้มละลายครั้งนี้ยังจำกัดอยู่เพียงบริษัท WeWork ที่มีสถานที่ตั้งในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเท่านั้น
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ WeWork เคยบรรลุแผนการปรับโครงสร้างหนี้แล้ว เมื่อต้นปี 2023 อย่างไรก็ตามแผนดังกล่าวกลับประสบกับปัญหา
WeWork นับเป็นอีกบริษัทที่ประสบกับการล่มสลายครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ภาคธุรกิจของสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2019 บริษัทเคยมีมูลค่าสูงถึง 4.7 หมื่นล้านดอลลาร์ หลังได้รับการสนับสนุนจาก SoftBank
อย่างไรก็ตาม หลังเกิดการระบาดใหญ่ ซึ่งทำให้ผู้คนต้องกักตัวอยู่บ้าน และนำไปสู่การเปลี่ยนวิถีชีวิตการทำงานของคนทั่วโลกไปสู่ระบบไฮบริด หรือ Work from Anywhere มากขึ้น ทำให้ WeWork ประสบปัญหา เนื่องจากบริษัทหลายแห่งยุติสัญญาเช่าอย่างกะทันหัน ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่ตามมา ทำให้ลูกค้าของ WeWork ต้องปิดกิจการมากขึ้น
ณ วันที่ 30 มิถุนายน WeWork มีอสังหาริมทรัพย์อยู่ 777 แห่งใน 39 ประเทศ โดยมีผู้เช่าเกือบแตะระดับปี 2019 (ก่อนโควิด) แล้ว แต่องค์กรยังคงไม่มีผลกำไร
ในปี 2021 WeWork เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ผ่านวิธีการ SPAC หลังล้มเหลวในการพยายามที่จะเข้าตลาดด้วยการ IPO ท่ามกลางความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการกำกับดูแล การประเมินมูลค่า และแนวโน้มการเติบโตของบริษัท
โดยข้อตกลง IPO ที่ล้มเหลวส่งผลให้ Adam Neumann อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และผู้ร่วมก่อตั้ง ลาออกจากตำแหน่ง และทำให้การประเมินมูลค่าของ WeWork ร่วงลงอย่างมาก
โดยหลังจากเข้าจดทะเบียน หุ้นของ WeWork ก็สูญเสียมูลค่าไปประมาณ 98% ก่อนที่หุ้นของ WeWork ตกลงสู่ระดับต่ำสุดประมาณ 10 เซนต์ และมีการซื้อขายที่ประมาณ 83 เซนต์ก่อนที่หุ้นจะถูกระงับการซื้อขายในวันจันทร์ (6 ตุลาคม)
ด้าน Adam Neumann อดีต CEO และผู้ร่วมก่อตั้งกล่าวว่า การยื่นฟ้องนี้ “น่าผิดหวัง” พร้อมกล่าวอีกว่า นับเป็นเรื่องท้าทายสำหรับตนที่จะเฝ้าดูจากนอกสนามมาตั้งแต่ปี 2019 เนื่องจาก WeWork ล้มเหลวในการใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ที่มีความเกี่ยวข้องมากขึ้นในปัจจุบัน
อ้างอิง: