เมื่อครั้งที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการ กสทช. (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) ต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้เพิกถอนมติ กสทช. ในการควบรวมธุรกิจระหว่างทรูและดีแทค เพราะเห็นว่าเป็นการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบ ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันกิจการโทรคมนาคม แต่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจึงยื่นคำร้องอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด
ขณะที่วานนี้ (30 ตุลาคม) ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้ศาลปกครองชั้นต้นรับคำฟ้องในคดีมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคยื่นฟ้องขอเพิกถอนมติ กสทช. ที่เกี่ยวเนื่องกับการควบรวมธุรกิจระหว่างทรูและดีแทคไว้พิจารณาพิพากษา
ล่าสุด วันนี้ (31 ตุลาคม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด ชี้แจงว่า บริษัทปฏิบัติตามกฎหมายถูกต้องครบถ้วน โดยคำสั่งศาลดังกล่าวเป็นเพียงการเริ่มต้นกระบวนการจากการที่ศาลปกครองสูงสุดสั่งให้ศาลปกครองชั้นต้นรับคดีไว้พิจารณา อันเนื่องมาจากที่ผ่านมา ศาลปกครองชั้นต้นได้มีคำสั่งไม่รับฟ้องคดีของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพราะขาดอายุความ
มูลนิธิจึงอุทธรณ์ไปยังศาลปกครองสูงสุด ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุดยืนว่า มูลนิธิยื่นคำฟ้องขาดอายุความจริง แต่มีเหตุที่ศาลปกครองรับไว้พิจารณาได้ โดยศาลปกครองชั้นต้นจะต้องใช้ระยะเวลาในการพิจารณาเนื้อหาคดีโดยละเอียดต่อไป
ทั้งนี้ ศาลปกครองชั้นต้นเคยมีคำสั่งยกคำขอคุ้มครองชั่วคราวในคดีลักษณะเดียวกันที่สภาองค์กรของผู้บริโภคและ AWN ได้ฟ้องขอเพิกถอนมติการควบรวมไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยศาลเห็นว่ามติรับทราบของ กสทช. ได้อาศัยอำนาจตามที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว จึงไม่มีเหตุรับฟังว่าน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากนี้ เราเชื่อมั่นว่าการควบรวมเป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน ไม่เพียงแค่ประโยชน์ของผู้ใช้บริการของทั้ง 2 แบรนด์ แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อวงการโทรคมนาคมไทย ลูกค้าผู้ใช้บริการ คนไทย และประเทศไทย อีกทั้งการควบรวมที่เกิดขึ้นก็ได้ปฏิบัติตามกฎหมายถูกต้องครบถ้วน
ทว่าหลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดรับเรื่องไว้พิจารณาพิพากษา จากนี้คงต้องติดตามว่าผลการพิจารณาการขอให้เพิกถอนมติ กสทช. ในการควบรวมธุรกิจระหว่างทรูและดีแทคจะออกมาอย่างไรต่อไป