ส.อ.ท. ปรับลดเป้าผลิตรถยนต์ประเทศเป็นครั้งที่ 2 ในปีนี้เหลือ 1,850,000 คัน เหตุตลาดในประเทศซบเซา สถาบันการเงินคุมเข้มปล่อยสินเชื่อ วางเงินดาวน์ขั้นต่ำ 30-40% หนี้ครัวเรือนสูง ผู้ซื้อติดแบล็กลิสต์เครดิตบูโร บวกกับ EV เข้ามาถล่มตลาดอีกระลอกช่วงปลายปี พร้อมจับตาสงครามอิสราเอล-ฮามาส แม้ส่งออกไปอิสราเอลไม่ถึง 1% แต่หากบานปลายอาจสะเทือนตลาดตะวันออกกลาง เนื่องจากไทยส่งออกมากถึง 18%
สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธาน และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ปรับเป้าประมาณการผลิตรถยนต์ในปี 2566 ลดลงอีก 50,000 คัน จากเดิมที่วางไว้ 1,900,000 คัน ส่งผลให้คาดว่าการผลิตรถยนต์ในประเทศปีนี้ลดลงจากปีก่อน 1.78% เหลืออยู่ที่ 1,850,000 คัน
โดยแบ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออก 1,050,000 คัน (เท่าเดิม) และการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 800,000 คัน ปรับลดลงจากเป้าเดิมประมาณ 5.88% และการจำหน่ายรถยนต์กระบะก็ลดลงตามไปด้วย
“การปรับลดเป้าการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ ในปีนี้ถือว่าปรับลดลงเป็นครั้งที่ 2 จากปัจจัยหลัก ด้วยกระแสการใช้และการนำเข้ารถยนต์นั่งไฟฟ้า (EV) ที่เพิ่มมากขึ้นในปีนี้ ผมถือว่าปีนี้เป็นปีทองของ EV ซึ่งในเดือนกันยายนรถยนต์แบตเตอรี่ไฟฟ้า (BEV) มีสัดส่วนยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 11.08% จากยอดขายรถทั้งหมด”
นอกจากการเข้ามามากขึ้นของ EV ปัจจัยอีกส่วนที่น่ากังวลคือสถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ เนื่องด้วยปัญหาหนี้ครัวเรือนยังสูง แม้จะยังมีดีมานด์มาก แต่ไม่ผ่านเงื่อนไขเครดิตบูโร รวมถึงสถาบันการเงินบางแห่งกำหนดให้วางเงินดาวน์ขั้นต่ำสูงถึง 30-40%
ประกอบกับเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และยังเป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น ทำให้การส่งออกหดตัว แรงงานมีรายได้ลดลง แต่ค่าครองชีพยังคงอยู่ในระดับสูง
EV เติบโตต่อเนื่อง
สวนทางตลาดยานยนต์ไฟฟ้า สำหรับยอดการจดทะเบียนใหม่ (ป้ายแดง) เดือนกันยายน 2566 ของรถ BEV ยังคงเติบโตต่อเนื่อง อยู่ที่ 6,839 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 542.16% รวม 9 เดือนแรกปีนี้ อยู่ที่ 50,000 คัน เพิ่มขึ้น 757.63%
“แนวโน้มการขยายตัวของรถยนต์ไฟฟ้า EV ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่นายกรัฐมนตรีย้ำว่าจะมีการส่งเสริมการลงทุนและการใช้รถ EV ในประเทศ รวมถึงการผลิตรถยนต์สันดาปภายในควบคู่กัน ในส่วนนี้ก็ต้องขอบคุณรัฐบาลที่วางแนวทางอย่างสมดุล”
อย่างไรก็ตาม ค่ายรถต่างก็ยังรอมาตรการอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้า (EV 3.5) ที่จะสิ้นสุดภายในสิ้นปีนี้ หากมีการอนุมัติจะทำให้เกิดการลงทุนมากขึ้น ซึ่งหลังจากนี้นับตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไปจะเริ่มมีการผลิตรถ EV ในไทย รวมถึงแบตเตอรี่ เพื่อจำหน่ายในประเทศและเป็นการต่อยอดการส่งออกยานยนต์ในภูมิภาค
ส่วนยอดการส่งออกรถยนต์ในปีนี้คาดว่าจะยังเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ที่ 1,050,000 คัน แต่ยังต้องจับตาสถานการณ์สงครามที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด หากบานปลายและขยายวงกว้างขึ้นอาจส่งผลกระทบ เนื่องจากสัดส่วนการส่งออกไปตลาดตะวันออกกลาง 18% โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แต่เฉพาะตลาดอิสราเอลไทยส่งออกไม่ถึง 1%
“ปีนี้การส่งออกยังดี และเราคาดว่าในปีหน้าเมื่อรวม EV และรถยนต์สันดาปภายใน จะทำให้ไทยส่งออกรถยนต์ได้เกิน 1,000,000 คัน”