‘ยายแป๋ม’ ชื่อเรียกอันคุ้นหูของมนุษย์คนหนึ่งที่มีภาพจำเป็นใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา ด้วยบุคลิกตัวตนที่สดใส ตลกขบขัน แลดูเป็นมิตรกับคนได้ทั้งโลก เขาผ่านประสบการณ์การทำงานตั้งแต่เบื้องหลังยันเบื้องหน้า และอีกหลายบทบาทในวงการบันเทิงในระดับที่พูดได้เต็มปากว่า ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
ทว่า วันที่เขาได้ก้าวเข้าสู่ ‘วัยกลางคน’ เต็มตัว ก็มีเสียงคำถามที่ดังก้องในใจ ‘ความสามารถเรามีเท่านี้จริงๆ เหรอ?’ คำถามเพียงข้อเดียวกลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่ทำให้ ป๋อมแป๋ม-นิติ ชัยชิตาทร เริ่มค้นหาตัวเองใหม่อีกครั้ง ด้วยการทำในสิ่งที่ตัวเองรักที่สุดในชีวิต ซึ่งก็คือการเป็น ‘นักเรียน’ และถึงแม้จะต้องเริ่มจากศูนย์ในวัยเลข 4 เขาก็ไม่เคยคิดผิดหรือมองว่ามันเป็นอุปสรรคแต่อย่างใด ในทางกลับกัน การตัดสินใจวันนั้นกลับทำให้เขาได้ค้นพบศักยภาพของตัวเองในมุมใหม่ กลายเป็นแพสชันและความสุขที่เติมเต็มหัวใจได้อย่างอิ่มเอม
สิ่งที่ป๋อมแป๋มตัดสินใจลงมือทำยิ่งตอกย้ำว่า ‘Potential Has No Age’ ทุกความเป็นไปได้…เป็นไปได้เสมอ ตัวเลขของอายุไม่ใช่ข้อจำกัดที่จะมาตีกรอบศักยภาพในตัวคุณได้ตราบใดที่คุณกล้าที่จะเชื่อมั่นในตัวเอง
มาดูกันว่า Passion Calling x SHISEIDO with Pompam Niti จะสร้างแรงบันดาลใจแห่งการเริ่มต้นสิ่งใหม่ได้มากน้อยแค่ไหน
เล่าให้ฟังหน่อยว่าก่อนหน้านี้และปัจจุบันป๋อมแป๋มทำอะไรบ้าง
ป๋อมแป๋ม: ถ้าจ๊อบแรกเลยคือ นักวิเคราะห์และบัญญัติศัพท์ พวกในสิทธิบัตรเวลาเขาผลิตอะไรใหม่ๆ ออกมา เครื่องจักร เคมี แล้วจะจดสิทธิบัตร มันต้องเป็นภาษาอังกฤษและภาษาไทย ตัวภาษาไทยเราได้เท็กซ์ภาษาอังกฤษมาแล้วเราต้องมาแปล แล้วมันจะมีคำที่เขาบัญญัติมาใหม่ เราต้องไปบัญญัติมาเป็นภาษาไทย อันนั้นทำตอนอายุ 19 ปี
คือมันก็สนุกดี ได้ใช้ความรู้ ทำเป็นพาร์ตไทม์พอให้รู้ เสร็จปุ๊บก็มาทำอีเวนต์ อีเวนต์นี่ก็เหมือนกัน ทำแล้วไม่ใช่ว่าไม่มีแพสชัน แต่รู้ว่าทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ เพราะว่าเป็นงานละเอียดมาก ตำแหน่งของเราตอนนั้นคือเป็นประสานงาน และพบว่าทักษะที่เราไม่มีเลยคือทักษะการต่อรอง เช่น สมมติโทรไปถามเขาว่า เรามีงบพิธีกรอยู่ทั้งหมด 10,000 บาท เขาเรียกมา 20,000 บาทอย่างนี้ เราก็จะปากหนักไม่กล้าพูดว่าหมื่นเดียวได้ไหมคะ เราก็ตอบเขาว่า อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ เจ้านายก็จะด่าเราว่าทำไมไม่ต่อเขา ต่อไม่เป็นอย่างนี้
ประกอบกับช่วงนั้น GMM Grammy ก็เรียกหาครีเอทีฟใหม่ เพราะมีรายการตอนเที่ยงคืน ก็ส่งไปทั้งที่ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ได้เหมือนกัน แต่ปรากฏว่าได้ เจ้านายที่รับอ่านสคริปต์แล้วชอบ ก็เลยได้เข้ามา
จากวันนั้นก็เริ่มต้นจากงานครีเอทีฟรายการเพลง แล้วค่อยๆ เขยิบขึ้นมา ตอนนี้ก็คือทำตำแหน่งผู้ช่วยรองกรรมการผู้จัดการของบริษัท GMM TV ซึ่งชื่อมันฟังดูเวอร์ แต่จริงๆ ตำแหน่งเป็น Executive Producer ยังเป็นงานประจำอยู่ ซึ่งก็เป็นงานหลัก เช่น เวลากรอกเอกสารไปต่างประเทศประกอบอาชีพอะไร ก็ยังเขียนว่าเป็นพนักงานบริษัทอยู่ พิธีกรก็ยังทำอยู่ แต่ก็ลดลงมาเยอะแล้ว จะมีรับละคร รับหนังบ้างประปราย
แล้วก็มีอันนี้ที่นั่งอยู่ อันนี้ก็ร้านฉัน ตอนนี้ทำร้านอาหารอยู่ ร้าน ‘อรรถรส’ อยู่ตรงสุขุมวิท ซอย 39 ซึ่งอรรถรสก็ไม่ค่อยได้ดูแลหรอก เพราะว่าเขารันของเขาได้ดีอยู่แล้ว และมีค็อกเทลบาร์อยู่สองร้าน ซอย 31 คือ ‘OFTR’ และ ‘Mutual Bar’ สุขุมวิท ซอย 24 แล้วก็มีเป็นบีชบาร์ เป็นเซิร์ฟคลับอยู่ที่หัวหิน
คลุกคลีอยู่กับวงการบันเทิงมาโดยตลอด แล้วจู่ๆ มาทำธุรกิจร้านอาหาร อะไรที่จุดประกายให้มาทำด้านนี้
ป๋อมแป๋ม: จับพลัดจับผลูหมดเลย ถ้าเป็นอรรถรส ด้วยความที่หุ้นส่วนหลักเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ ป.1 รู้จักกันมาเป็น 30 กว่าปี ตอนเขากำลังจะเปิดก็เหมือนชวนมาลองชิมอาหารแล้วช่วยคอมเมนต์ ปรากฏว่ามาลองชิมแล้วรู้สึกว่าอาหารอร่อยดี คอนเซปต์ร้านมันน่าสนใจ ก็แอบสะกิด มีใครแบ่งหุ้น ขายไหมอะไรอย่างนี้ ช่วงนั้นเราเริ่มโตแล้วด้วย เริ่มพอจะมีเงินเก็บบ้าง นางก็ใจดีเจียดมาให้นิดหนึ่ง แต่ว่าก็โอเค เรามาลองทำโดยที่ไม่รู้อะไร แต่ก็อาศัยคอนเน็กชันฝั่งโปรดักชัน ฝั่งสื่อ ก็จะช่วยเขาในส่วน PR อยู่
ส่วนถ้าบาร์เนี่ย จริงๆ ก็คล้ายๆ กัน คือไปกินบ่อย ด้วยความที่มันใกล้บ้าน ก็ไปทุกวัน เริ่มจาก Mutual Bar ก่อน ไปบ่อยกว่าหุ้นส่วนเขาจนเริ่มรู้ระบบ ตอนหลังๆ ไปสืบรู้มาว่ามีการยักย้ายถ่ายเทในส่วนของหุ้นส่วน เลยขอซื้อหุ้น เพราะฉันก็มาบ่อยและสนิทกับตัวหุ้นส่วน ซึ่งก็คือ พี่บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ แล้วเขาก็เลยมีข้อเสนออันหนึ่ง เขากำลังจะเปิดบาร์อยู่ตรงสุขุมวิท ซอย 31 เขาก็เลยให้เราลองหุ้นอันนั้นและลองทำงานด้วยกันก่อน เพราะไม่เคยทำงานด้วยกันเลยในเชิงธุรกิจ ให้ลองบริหารบาร์ใหม่ดูก่อนว่าเคมีเข้ากับทุกคนได้หรือเปล่า นี่เดาว่าเขาคิดว่าเราไม่จริงจัง เหมือนมาขำๆ ปรากฏว่าเราก็แสดงให้เขาเห็นว่าเราจริงจัง เขาก็เลยยอมให้เรามาหุ้น
ทำทั้งร้านอาหารและบาร์ ตั้งแต่ทำมาจนถึงตอนนี้มีโมเมนต์ไหนที่รู้สึกว่าอยากเลิกทำไหม
ป๋อมแป๋ม: ไม่เคยมี กล้าพูดเลยว่าตั้งแต่ทำมาไม่มีโมเมนต์ที่รู้สึกว่าอยากจะล้มเลิกหรืออยากจะพอแล้ว แต่ในช่วงที่มันจะต้อง…เอาจริงๆ วัฏจักรของร้านเหล้ามันค่อนข้างสั้น ถ้ามันขึ้นเร็วก็จะตกเห็นชัดนิดหนึ่ง มันก็ต้องอยู่ที่มายด์เซ็ตเราแหละว่าจะตกตะลึงพึงเพิดมากน้อยแค่ไหน แต่คิดว่ามันเป็นธรรมชาติ หรือเราจะพยายามไฟต์มันกลับมาขึ้นมา อันนี้ต้องยกประโยชน์ให้กับทางหุ้นส่วนคนอื่นๆ เหมือนกันนะ อย่างเช่น คุณบาส เขาจะเป็นคนที่ค่อนข้าง Aware กับเรื่องพวกนี้ค่อนข้างเยอะ
เราจะเป็นสายแบบมันเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนไปเทียบกับตอนที่มันพีคไม่ได้ แต่เขาก็เป็นคนที่พยายามจะเอาอันนี้มาโปะ อันนั้นมาแก้ ให้ธุรกิจมันรันไปในระดับที่ทุกคนพอใจ นี่ว่าก็เป็นเคมีที่ดีที่มันต้องมีคนเอ๊ะ แล้วก็มีคนแบบอย่าเพิ่งตกตะลึงพึงเพิด เดี๋ยวมาหา Common Ground แก้ด้วยกัน
การที่เราจะเริ่มต้นทำอะไรบางอย่างที่มันฉีกจากตัวตนเรา ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องเชี่ยวชาญในด้านนั้นแต่แรก?
ป๋อมแป๋ม: พี่ป๋อมแป๋มเป็นคนคิดอย่างนั้นมาตลอด ซึ่งจริงๆ เสียเวลาไปในช่วงอายุ 20-30 ปีเยอะมาก เพราะมีความคิดอยากทำอันโน้นอันนี้เยอะ แต่ว่ามีความกลัวว่าถ้าเราเริ่มทำแล้วมันไม่เวิร์ก…เราจะเฟล เหมือน Trauma แล้วก็จะไม่กล้าทำมันอีก และมีความรู้สึกอยาก แต่ไม่ได้ทำ หรือบางทีหลายครั้งอยาก แต่ให้คนอื่นไปทำและเป็นงานของเขาไป
จนมันแก่ตัวก็คิดว่าทำๆ ไปเหอะ คือไปทดลองทำก่อน นี่รู้สึกอย่างหนึ่งว่าเป็นบุญ เป็นโชคที่ดีของเราที่เรามี Support System หรือว่าเรามีเพื่อนฝูง พาร์ตเนอร์ของเรา ที่ค่อนข้างดีถึงระดับดีมากช่วยกัน ไม่มีใครปล่อยให้ใครทำงานคนเดียว หรือว่าให้คิดให้แก้คนเดียวทั้งอรรถรส, Mutual Bar และ OFTR เพราะฉะนั้นได้มาเข้าใจเรื่องที่ว่า อยากทำอะไรให้ทำไปเลย ก็ตอนอายุเกือบจะ 40 ปีแล้วอยู่เหมือนกัน
เห็นว่ามีไปลงเรียนทำอาหารด้วย ทำไมถึงจู่ๆ อยากไปเรียน
ป๋อมแป๋ม: จริงๆ ทำอาหารไม่ใช่อันแรกที่เรียน คืออันนี้ Blame it On Midlife Crisis ตั้งแต่อายุ 20 ถึงเกือบจะ 40 ปี พี่ป๋อมแป๋มตะบี้ตะบันทำงานไม่หยุดเลย แล้วก็จะใช้กรอบประสบการณ์เก่าๆ ของเราที่สั่งสมมาจนรู้สึกว่า หนึ่ง มันกำลังจะหมด กับสอง มันมีความโควิดเข้ามา เพราะฉะนั้นก็ต้องพักการทำงานไป
พอมองย้อนกลับไป อายุจะ 40 ปีแล้ว ถ้าเราไม่ได้ทำงานทีวี เราทำอะไรได้อีกบ้าง…ไม่มีเลย เพราะว่า 20 ปีที่ทำงานทำอยู่อย่างเดียว ตะบี้ตะบันทำอยู่อย่างเดียวจนแบบ…ถ้าเกิดตกงานไป ฉันไม่มีทางไปทำอะไรอย่างอื่นได้อีกแน่ๆ เพราะไม่มีความรู้เลย ไม่เคยฝึกอะไรใหม่เลย ซึ่งมีความตกใจอยู่นิดหนึ่งเหมือนกัน ก็เลยเริ่มจากไปเรียนโน่นนี่นั่นก่อน
อันแรกที่เริ่มไปเรียนคือปั้นดิน ตอนแรกตั้งใจทำเป็นแจกัน แต่ได้ออกมาเป็นชาม ทุกวันนี้ยังใช้อยู่เลย (หัวเราะ) แต่อันที่เริ่มทำให้รู้สึกว่าอยากกลับมานั่งเรียนจริงๆ คือ มีกัลยาณมิตรที่ดีของดิฉันก็คือ โอปอล์-ปาณิสรา อารยะสกุล กับ คุณจ๋า-ยศสินี ณ นคร ชวนเราไปเรียนเขียนบท มันก็จะมีเปิดเรียนเขียนบทสองวัน ก็เข้าไปนั่งเรียนแล้วพบว่า คิดถึงโมเมนต์การนั่งเรียนในห้อง การนั่งฟังเลกเชอร์ จด และพรีเซนต์ ผิดแล้วมีคุณครูคอมเมนต์ รู้สึกว่าชอบมากก็เลยเรียนต่อ จำได้ว่าตอน Basic เขามีเรียนสองวัน เราไปได้วันเดียว รู้สึกว่ามันไม่หนำใจ ก็เลยขอลงเรียน Basic ซ้ำอีกรอบ แล้วก็มาลง Advance อีก
บางคนได้เล่นสนุกแล้วรู้สึกปลุกความเป็นเด็ก ของเราได้กลับไปเรียนหนังสือ ได้ปลุกไฟความเป็นเด็กเราขึ้นมา พอหลังจากเรียนเขียนบทแล้วก็เริ่มไปเรียนอย่างอื่นเพิ่มเติม เช่น ไปเรียน Acting เพิ่ม, กลับไปเรียนตีเทนนิสใหม่ เชื่อไหม สมัยประถมเคยเป็นนักกีฬาด้วย แล้วก็ทิ้งไปเลย จนกลับมาตีก๊อกๆ แก๊กๆ ก็ใช้เวลา แต่ค่อนข้างมีความรู้สึกทุกครั้งว่าตีดีขึ้น
จนกระทั่งอาหาร อาหารเนี่ยก็เป็นเหมือนเป็นปมชีวิต เพราะเวลาแม่ทำกับข้าว ทำ 10 ครั้งมันจะได้มา 10 รสเสมอ หรือเวลาแม่ทำเค็ม แม่จะบอกกับเราว่าเอาไว้กินกับข้าว แต่ถ้าเวลาแม่ทำจืด แม่จะบอกว่ากินเค็มไม่ดี (ทำท่าปาดน้ำตา) เราก็เอ๊ะ การจะทำอาหารและพึ่งพาแม่เราเนี่ยใช้ไม่ได้เลย
ก็ไปลงเรียนกับ Le Cordon Bleu ซึ่งก็กล้าพูดว่าไปแบบไม่ใช่น้ำครึ่งแก้ว เป็นแก้วที่ไม่มีน้ำเลย ไปแบบโบ๋มาก ศูนย์มาก แต่กลายเป็นว่าก็เป็นข้อดีของเรา คือนี่ต้องยอมรับว่าเป็นนักเรียนที่ได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ ไม่ได้เป็นท็อปของคลาส แต่เราจะพบทักษะที่เราไม่เคยรู้เลยว่าเราทำได้ดี รวมไปถึงเราก็จะพบว่าสิ่งที่เข้าใจว่าเราทำได้ดีก็ทำได้ไม่ดี เช่น การคุมเตา การที่มีเตาทั้งหมด 4 เตา ไหนเธอจะหันไปหั่น ไหนจะต้องซ้ายขวาหน้าหลัง อันนี้ปล่อยไหม้เลย
แต่เราไปเจอทักษะเรื่องการหั่นและซอย ซึ่งเราไม่เคยรู้ว่าทำได้ดี เช่น Julienne 1 มิลลิเมตรโดยที่สามารถพูดคุยกับเพื่อนไปได้แล้วออกมาเป็นฝอยเท่ากัน หรือพวกงานคราฟต์ เทิร์นแครอต เทิร์นมันฝรั่งให้มันเป็นลูกรักบี้ ทำได้เร็วและดี พบว่าแอบเป็นความภูมิใจเล็กๆ และเรารู้สึกว่าอันนี้เอาไปพัฒนาต่อยอดได้ เพราะฉะนั้นอาหารที่เราจะลงแค่คอร์สเดียวคือคอร์ส Basic ก็คือยาวมาจนจบ Superior แล้วรู้สึกว่า ต่อขนมไปอีกสักหน่อยแล้วกัน เผื่อๆ เอาไว้ ก็กลายเป็นทุกวันเสาร์จะมีความรู้สึกอยากตื่นเช้าไปทำขนม ไปเข้าครัว พบแพสชันใหม่
เหมือนการไปลงเรียนทำให้ป๋อมแป๋มได้ปลดล็อกศักยภาพใหม่?
ป๋อมแป๋ม: ใช่ ถูกต้อง พอเราไปเรียนมันได้เจอศักยภาพที่เราไม่เคยรู้ว่ามี กับอีกอย่างที่เจอก็คือ เราเจออีกด้านหนึ่ง นี่ไม่เคยรู้เลยนะว่าตัวเองเป็น ‘คนหวาน’ คือเวลาทำ Plating จะมีความกุ๊กกิ๊ก จะเจอโหมดหวานตัวเองเฉยเลย แล้วก็จะเจอโหมดสงบนิ่งของตัวเอง ในขณะที่เพื่อนๆ หลายท่านอยู่ในครัวแล้วเหมือนแข่งมาสเตอร์เชฟตลอดเวลา ปุ้งปั้งๆ แต่เวลาเราอยู่ในครัวเนี่ยก็อยู่หน้าหม้อ อยู่หน้ากะละมัง ทำของเราให้เสร็จ เสร็จอันนี้ก็ไปอีกอันหนึ่ง ถ้าจะไม่ทันแล้วค่อยตึงตัง พบโหมดมีสมาธิของเรา ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เจอจากการทดลองไปทำโดยที่เราไม่ได้คาดหวังว่าเราจะเจอ
จากที่ฟังดูมีแพสชันกับการทำอาหารมาก ตั้งแต่เรียนมามีโมเมนต์ไหนที่รู้สึกว่าท้อหรืออยากเลิกเรียนบ้างไหม
ป๋อมแป๋ม: อยากเลิกไม่มี แต่มันมีวันที่บอมบ์ คือทำขนมแล้วมันผิดไปหมดเลย ผิดไปหมดจนไม่อยากทำแล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนเรียนทำอาหารคาว จะต้องเป็นปลา ในจานปลาจะต้องมีการแกะสลักเห็ดด้วย และมีการทำซอส จำได้ว่าทำผิดไปหมดทุกอย่าง ผิดตั้งแต่ปลาแซะออกมาหนังหลุด ปลาขาด เห็ดก็ไม่ได้สักที ซอสก็ไม่ได้สักที มันผิดไปหมดจนเชฟเห็นว่าเราสั่น เขาเลยเรียกให้เราไปล้างจาน ระหว่างล้างไปก็ยืนคิดไปว่าเดี๋ยวต้องทำอะไรต่อ แล้วเขาก็บอกว่า “คุณเสียเวลาล้างจานไป 5 นาที คุณจะได้เวลากลับมาอีก 10 นาที” ดีกว่าทู่ซี้ทำไปเรื่อยๆ คุณจะเสียเวลาไปเลยครึ่งชั่วโมง เพราะอย่างไรมันก็ออกมาพังอย่างที่เห็น รู้แหละว่าความผิดพลาดมันมีเหตุและผลของมัน มันแก้ได้
กลับไปตอบคำถามเมื่อกี้ว่า เคยเจอวันที่ท้อหรือว่าไม่อยากทำไหม เคยมี แต่ผ่านมาได้ เพราะว่า หนึ่ง มันมีวิธีแก้ สองคือ มันมีเหตุและผลของมัน พอรู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร เราก็ไม่ได้จะไปตีอกชกตัวหรือโวยวายอีกแล้ว
เคยมีโมเมนต์ที่อยากเลิกทำงานใดงานหนึ่งไหม
ป๋อมแป๋ม: ไม่ได้ถึงกับอยากเลิก จริงๆ สิ่งที่รู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเองมากที่สุดคือ ‘งานหน้ากล้อง’ รู้สึกว่าไม่ใช่สิ่งที่อยากทำมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่มันก็ได้ทำมาเหมือนงานอื่นๆ เลยก็คือ มีโจทย์โยนมาก็ลองทำดู พอลองทำดูก็เริ่มเจอว่าทางที่เราจะทำแล้วดีขึ้นมันอยู่ตรงไหน แต่สำหรับเรารู้สึกว่า หนึ่งคือ มันมีเพดานของมันที่เรารู้แล้วว่าเราจะไปสุดได้เท่านี้นะ แล้วก็อีกข้อหนึ่งที่เรารู้สึกว่าหลังๆ พอเราได้ทำงานกับน้องๆ หลายๆ คน เราทำงานกับก๊อตจิ (ทัชชกร บุญลัภยานันท์), เจนนี่ ปาหนัน และ ปิงปอง ซินดี้พวง เรารู้สึกว่าน้องๆ เหล่านี้ รวมถึงหลายๆ คนที่เจอมา เก่งในระดับที่เขาพัฒนาไปมากกว่านี้เยอะมาก
บางทีมันก็ถึงเวลาที่รู้สึกว่า ‘ส่งไม้ต่อ’ หรือว่าย้ายตัวไปเป็นเมนเทอร์ไหม เป็นต้น อย่างทุกวันนี้ทำงานกับเจนนี่และปิงปองก็ค่อนข้างดีใจที่สองคนนี้ค่อนข้างเก่งขึ้นเรื่อยๆ หลายครั้งที่เราก็ได้สอน ได้โค้ชน้อง เราเห็นเขาเก่งขึ้นเราก็ภูมิใจ เหมือนเห็นเขาโตแล้วเอ็นจอยกว่า เหมือนเห็นลูกรับปริญญาเราก็ยินดี เหมือนตื่นเช้าไปเข้าร้านทำผมแล้วก็ตียี แบบ โห…ลูกรับปริญญา ไม่น่าเชื่อเลยเนอะ เห็นมาตั้งแต่เล็กเนอะ (ยิ้ม)
จากจุดที่อยู่ทั้งเบื้องหลังและเบื้องหน้า จนทุกวันนี้กลายเป็นที่รู้จักในนาม ‘ยายแป๋ม’ รู้สึกอย่างไร
ป๋อมแป๋ม: มันจะมีช่วงหนึ่งที่เรารู้สึกไม่ค่อยมีความสุขกับโลกเท่าไร ซึ่งมันขัดแย้งกับสิ่งที่เราต้องการจะบอก นี่รู้สึกว่าพื้นเพเราไม่ใช่คนเกลียดโลก แต่ไม่รู้ทำไมมันจะมีช่วงที่หงุดหงิดไปหมดเลย เราเห็นอะไรแล้วขวางหูขวางตาไปหมด จนสุดท้ายแล้วบาปบุญมันก็ได้เทอราปิสต์ที่ดี เราก็คุยกับเขานะ เขาก็ยายแป๋มคืออะไร เราก็บอกว่า ยายแป๋มคือสิ่งที่คนเขาเรียกเราออกมา แล้วมันก็จะมีชุดคุณสมบัติอยู่ว่าคือ คนขบขัน คนใจดี คนปากร้ายใจดี ยายเป็นคนครีเอทีฟ
ซึ่งยายเนี่ยมันเป็นคอนเซปต์ที่คนอื่นเขาตั้งแล้วเรารับ แล้วเริ่มรับความเป็นคุณยายเข้ามา จนกระทั่งมันเริ่มกลืนเราทั้งหมด ตอนนี้เรากำลังปฏิบัติตนตามความคาดหวังว่าเราต้องเป็นคุณยายที่มีคุณสมบัติเหล่านี้
จนเขาก็ถามเราว่า ป๋อมแป๋มจริงๆ อยากเป็นอะไร ลองตอบมาเลยก็ได้ นี่ก็โพล่งไปเลยว่า “อยากเป็นอาราเล่” เขาก็แบบทำไมวะ นี่ก็ว่ามันเล่นขี้ก็ไม่มีใครไปว่า พอพูดเสร็จก็ร้องไห้ออกมา เขาบอกถูกต้องแล้ว มันจะมีความรู้สึกที่เราอยากเป็น เราอยากเป็นคนที่ทำอะไรก็ได้ มีความอิสระ มีความ Free มีความเล่นขี้ทุกคนก็เข้าใจ ชกโลกแล้วโลกแตกเป็นสี่เสี่ยงก็ไม่มีคนดุ
นี่คือสิ่งที่อยากเป็น แต่ว่าความเป็นคุณยายมันเข้ามากลืนในแบบที่ว่า เรายินดีรับเข้ามาเอง จนมันไม่บาลานซ์กับตัวอาราเล่ของเรา พอเจอแบบนี้เราต้องแบ่ง เราต้องเข้าใจแล้วว่า ความเป็นคุณยายไม่ใช่ตัวของเราร้อยเปอร์เซ็นต์นะ แต่มันเป็นความคาดหวังของคนอื่นที่คาดหวังอยากให้เราเป็นแบบนั้น
เพราะฉะนั้นเราจะวางคุณยายไว้เท่าไรในชีวิตของเรา พอเราเจอบาลานซ์แล้ว ไอ้ความเป็นคุณยายเราก็ไม่ได้หายไป ไม่ได้ปฏิเสธ ไม่ได้บอกคุณผู้ชมว่าไม่ให้มาเรียกฉันอย่างนี้ ไม่ใช่ ยังเอ็นจอย ยังขอบคุณ ยังโอบรับ กับสิ่งที่เรียกเราอย่างนี้อยู่ แต่จะไปอยู่ในพาร์ตของกาละและเทศะที่เหมาะสม เราก็จะมีเวลาที่เราจะไปเล่นขี้แบบอาราเล่ได้เหมือนกัน เพราะอย่างนั้นเลยรู้สึกว่าเป็นบาลานซ์ที่เจอแล้วค่อนข้างเปลี่ยนชีวิตเรา เปลี่ยนมายด์เซ็ต์เราไปประมาณหนึ่งในแบบที่ดีขึ้นด้วย
ซึ่งทุกวันนี้ก็คือทำได้แล้ว?
ป๋อมแป๋ม: บางครั้งมันก็ยังมีความงงอยู่ แต่รู้ว่ามันก็ดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ เพราะเรารู้สึกว่าทุกวันนี้เราค่อนข้างแม่นขึ้นในเรื่องของการหาความสุขมากกว่าความทุกข์ เราค่อนข้างแม่นยำในการเห็นหนึ่งเหตุการณ์แล้วเราจะมองว่าไอ้เรื่องนี้มีดี และในเหตุการณ์ที่ไม่ดีมันจะเทิร์นเป็นดีได้อย่างไร
รู้สึกไหมเวลาเห็นอะไรสักอย่างหนึ่งแล้วมันคันปาก ในวันหนึ่งเราอาจต้องเคยแบบ…รู้ว่ามันไม่ดีแต่อยากพิมพ์ มันคันมือ ก็ใช้พิมพ์ในโน้ตเอา แล้วก็ไปกลั่นกรองทั้งสองวันว่า ถ้ายังคิดถูกอยู่ค่อยโพสต์ แต่ทุกวันนี้ค่อนข้างพูดได้เต็มปากเลยนะว่าเจออะไรแบบนี้ก็รำพึงออกมาเถอะ รำพึงแล้วก็พอ จบ หรือมันสามารถปล่อยเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของเราได้ง่ายขึ้นโดยอัตโนมัติ
จากที่ได้ลองทำมาทั้งหมด คิดว่าสิ่งไหนที่ตัวเองเอ็นจอยมากที่สุด
ป๋อมแป๋ม: ถ้าเป็นพาร์ตงานที่แป๋มชอบมากที่สุดก็ยังรู้สึกเอ็นจอยกับการทำงานเบื้องหลัง สมัยที่เรายังต้องเข้าไปอยู่กับห้องตัด อย่างเช่น ตอน เทยเที่ยวไทย, ทอล์ก-กะ-เทยส์, ต่อปาก ต่อคำ ติดไฟแดง เมื่อก่อนต้องเข้าไปอยู่ในห้องตัดกับ Editor แล้วเราจะมีเดินถือไม้ก้านลูกโป่งหนึ่งอัน แล้วคอยจิ้มว่าลบออกสองวิ เอาอันนี้ออก ชอบเอ็นจอยกับการทำงานแบบนั้น อธิบายไม่ถูกว่าทำไม คือทุกอย่างมันเห็นแล้วคือมันเป็น Gut เรา นี่รู้สึกว่าเวลาเราอยู่ในห้องตัด เราได้ใช้ทั้งหมดทั้งปวงที่เราเคยใช้ในชีวิตมาทำ
แต่ถ้าถามว่าชอบพาร์ตไหนของชีวิต นี่ก็ชอบเป็นนักเรียนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำงานหรือเรื่องอื่นๆ เวลาเริ่มจากศูนย์แล้วมันค่อยๆ เก่งขึ้น เรารู้สึกว่าเป็นความสุขที่มีได้ในทุกวันและไม่มีวันสิ้นสุด เพราะเราเชื่อว่าคนเรามันเก่งขึ้นไปได้เรื่อยๆ
เรื่องอายุไม่ใช่อุปสรรค?
ป๋อมแป๋ม: ไม่ใช่อย่างยิ่ง นี่คือเริ่มเรียนทุกอย่างตอนอายุ 40 ปี อาจจะยังไม่ได้เก่งที่สุด ยังไม่ได้ดีที่สุด แต่มันสามารถสตาร์ทได้ พอเราเริ่มตอนแก่ เราอย่าเพิ่งรีบทำแล้วเก่งเลย ในความเป็นจริงของโลกในการเรียนใดๆ ในการสตาร์ท มันไม่มีอะไรที่ดีที่สุด มันต้องค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ เหมือนนับ 1 2 3 ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเริ่มตอนไหนมันก็ทำได้
อีกอย่างคือ เรารู้สึกว่าก่อนจะแก่เกินเรียน นี่ชอบคำว่า ‘Don’t Take it for Granted’ คืออย่ารับอะไรมาง่ายๆ ในความรู้สึกที่ว่าอันนี้ควรเป็นสิ่งที่น่าจะได้อยู่แล้ว ไม่ว่าได้อะไรมามันต้องให้คุณค่ากับมัน หรือ Take ว่ามันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์หรือเราได้มันมาเพราะฟ้าประทาน โชคดีของเรา ทุกอย่างเราจะเก็บมันไว้ในลิ้นชักของเรา แล้ววันหนึ่งที่เราจะทำอะไรใหม่ขึ้นมาหรือเราจะร่ำเรียนอะไรขึ้นมา สิ่งเหล่านี้มันจะดึงออกมาใช้โดยง่าย
แสดงว่าคำว่า ‘แก่เกินเรียน’ ไม่มีจริง?
ป๋อมแป๋ม: นี่ไม่เชื่อมาก ยกเว้นสิ่งที่จะเริ่มตอนอายุ 80 ปีคือเล่น Wake Board อย่างนี้ก็ทำได้ แต่ก็มีความเสี่ยงนิดหนึ่ง แต่เชื่อไหมว่าตอน Surf Skate มันดังๆ ตรงดาดฟ้าฟอร์จูนมีคุณตา-คุณยาย คุณตาอายุดูจากทรงนะ 70 ปีอัพแน่ๆ แล้วคุณตาจูงคุณยายที่อยู่บน Surf Skate มันน่ารักมาก แล้วคุณตาก็ขึ้นไปเล่นด้วย คือเหมือนสอนคู่ชีวิตซึ่งอายุ 70 กว่าปี ตอนนั้นก็คือรู้สึกว่าต้องเล่นให้เป็น ไม่อย่างนั้นอาย อายเด็กไม่เท่าไร อายคุณตา-คุณยาย เพราะคุณตา-คุณยายยังเก่ง เพราะฉะนั้นเอาใหม่ แก่แล้วไปเล่น Wake Board ทำได้ (หัวเราะ)
มีมุมมองอย่างไรกับประโยคที่ว่า ‘Potential Has No Age’
ป๋อมแป๋ม: สำหรับประโยคที่ว่า ‘Potential Has No Age’ ก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง เหมือนอย่างที่บอกมาเมื่อสักครู่นี้ว่า คือศักยภาพของคนเรามันไม่ได้มีปัจจัยในเรื่องของอายุเข้ามาเกี่ยวข้อง นี่เชื่อว่าเรื่องของอายุ เพศ หรือใดๆ มันไม่ใช่ปัจจัย ปัจจัยอย่างเดียวที่ทำให้เราไม่มีเสรีภาพก็คือมายด์เซ็ต ว่าเรายินดีที่จะรับทุกสิ่งทุกอย่างมาเป็นประโยชน์หรือมาเป็นคุณค่าต่อชีวิตเราหรือเปล่า
บางคนเดินผ่านทุกอย่างแล้วก็ผ่านไป ถึงเราจะยังเด็ก สิ่งรอบตัวที่มันเกิดขึ้นก็ไม่ได้สร้างเสถียรภาพอะไรให้คุณ เพราะคุณไม่ได้มอง ไม่ได้หา ไม่ได้เก็บ ไม่ได้รู้สึก ไม่ได้โอบรับมันไว้ เพราะฉะนั้นตราบใดที่คุณเห็นทุกอย่างมีคุณค่า มีประโยชน์ วันที่คุณมีอายุมากขึ้น วันที่คุณอยากจะใช้ประโยชน์ ใช้ศักยภาพของคุณ คุณจะมีลิ้นชักในหัวเต็มไปหมดที่จะเอาออกมาก่อประโยชน์ต่อได้โดยง่าย นี่ก็เลยเชื่อว่า Potential Has No Age คือของจริง
จากประสบการณ์ส่วนตัว คิดอย่างไรกับการทำงานสองอาชีพหรือมากกว่าสองอาชีพในปัจจุบัน
ป๋อมแป๋ม: วันก่อนเพิ่งอ่านหรือฟังใครก็ไม่รู้บอกว่า ทุกวันนี้คนเราจะต้องมีสองอาชีพ หรือในส่วนของรายได้มันควรจะไม่ได้มาจากฝั่งเดียว มันอาจจะมาจากปัจจัยความเป็นไป ความผันผวนของโลก มันก็เป็นหลักประกันที่ดีที่เราจะมีรายได้จากสองฝั่ง แต่คราวนี้มันทำให้เรารู้สึกว่าก็ค่อนข้างสนับสนุนแนวคิดนี้
คือเรารู้สึกว่าชีวิตคนเรามันจะมีสิ่งที่เราฝันกับสิ่งที่เราทำได้ ถ้าสองอย่างมันรวมตัวเป็นอันเดียวกันได้เราก็จะโชคดีไป แต่เรารู้สึกว่าบางครั้งการทำงานของเรามันจะมีบางคนที่ตามล่าหาฝัน เพราะว่าชีวิตนี้มันมีฝันที่อยากจะทำ ระหว่างทำก็ขรุขระ ถ้าเป็นแบบนี้ทำไมเราไม่ลองมองทักษะมือไม้ หูตา หลายอย่างที่เราได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย แล้วใช้ประโยชน์จากมัน ให้มันออกมาเป็นรูปธรรมในเรื่องของการหาเงินหาทอง
ตรงกันข้าม ในแบบเดียวกันถ้าเป็นงานที่เราใช้มืออย่างเดียวแล้ว อย่าทิ้งพาร์ตที่อยากจะทำตามความฝัน มันก็ควรที่จะ Exercise เรื่องนี้ไว้เหมือนกัน เพื่อที่เราจะได้ไม่เป็นเครื่องจักร
แต่ว่าใดๆ ก็ตาม เราควรให้ความสำคัญกับทั้งสองอย่าง เอาจริงๆ ในเจเนอเรชันของเราจะชอบพูดว่า ‘ฝันให้ไกลไปให้ถึง’ แล้วเราก็จะบูชาความฝัน จะเทิดทูนความฝันว่ามันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แล้วเมื่อเราทำความฝันนั้นสำเร็จนั่นคือสุดยอด Ultimate Goal
คำถามคือ สมมติว่าได้แล้วจะทำอะไรต่อ คือเรารู้สึกว่าความฝันตรงนั้นมันก็ไม่ได้ผิด แต่เราก็ต้องไม่ดูถูกทักษะมือไม้ แบบที่เราหลับตาแล้วเราสามารถพิมพ์ได้ แบบที่เราถูกสอนให้พิมพ์ดีดแบบมองจอห้ามมองแป้น เราจะไปดูถูกว่าเป็นสิ่งไม่มีคุณค่าได้อย่างไร หรือเราหั่นผักได้ 1 มิลลิเมตรโดยที่เราไม่ต้องมอง เราจะ Take ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเรื่องงามได้อย่างไร ในขณะที่เรา Value ความฝัน ก็รู้สึกว่าเราก็ต้อง Value ทักษะที่เรามีด้วยเช่นกัน
เราสามารถทำตามความฝันของเราในขณะที่เราสามารถใช้ทักษะที่เราได้ร่ำเรียนมา หู ตา มือ ของเราให้เกิดประโยชน์ไปพร้อมกันได้และไม่มีอะไรจะเสียเลย คุณค่าความเป็นมนุษย์การเรียนรู้มันก็ยังอยู่ ฝันที่เราจะมีมันก็ไม่ได้หายไปไหน เงินก็เข้าทั้งสองทาง