ผมข่มใจอยู่นาน…กว่าจะวางมือเขียนถึงผลงานของฟุตบอลทีมชาติไทยเมื่อคืนนี้
และผมไม่รู้ว่าความรู้สึกของแฟนบอลที่ทีมรักโดนถลุงโหดครั้งล่าสุดเป็นอย่างไร แต่กับคนไทยทั้งประเทศน่าจะมีอารมณ์ไม่ต่างกัน คือทั้งโกรธ โมโห และอับอาย
แต่ก่อนจะเข้าเรื่องชำแหละต้นตอแห่งความขมขื่นนี้ ผมอยากถือโอกาสนี้ในการกล่าวขอบคุณและปรบมือให้กับนักเตะและทีมงานสตาฟฟ์โค้ช ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุดแล้ว
รวมไปถึงกองเชียร์ชาวไทยที่ตีตั๋วเข้าไปส่งกำลังใจให้ทัพช้างศึกถึงสนาม ขอบคุณที่ส่งเสียงเชียร์ “สู้เขาลูก สู้ได้ๆ ไทยแลนด์สู้ๆ” ตลอดทั้งแมตช์อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย และไม่ทิ้งนักเตะไปไหน พวกคุณสุดยอดมาก 👏
กลับมาที่เกมเมื่อคืนนี้ ทีมชาติจอร์เจีย 8 ทีมชาติไทย 0
นี่คือสกอร์จริงแบบไม่ติงนังที่เกิดขึ้นในเกมอุ่นเครื่องตามปฏิทินฟีฟ่าเดย์ ประจำเดือนตุลาคม 2023
เรื่องของอารมณ์ ‘โกรธ-โมโห-อับอาย’ ที่เกริ่นไปก่อนหน้า
นั่นไม่ได้เป็นความรู้สึกที่ผมในฐานะแฟนบอลตาดำๆ คนหนึ่ง รวมถึงแฟนบอลไทยทั้งประเทศมีต่อนักฟุตบอลหรือทีมงานสตาฟฟ์โค้ช ที่ลัดฟ้าไปหลายพันกิโลเมตรเพื่อลงแข่งขันครั้งนี้
หากแต่เป็นอารมณ์ที่มีต่อผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจทั้งหลายที่กุมชะตาฟุตบอลไทยไว้ในมือต่างหาก!
มีคำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัวของผมว่า ‘ท่านทั้งหลาย’ ปล่อยให้เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อเรามีโอกาสและเวลามากพอที่จะทำให้ผลลัพธ์มันดีกว่านี้ได้
เดิมทีโปรแกรมอุ่นแข้งทัวร์ยุโรป 2 นัด (จอร์เจีย และเอสโตเนีย) ถูกนัดหมายขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ท่ามกลางความตื่นเต้นของแฟนบอลจำนวนไม่น้อยที่ตั้งตารอดูการแข่งขัน (รวมถึงผมด้วย) เพราะต้องยอมรับว่าไม่บ่อยครั้งที่ไทยจะได้บินออกไปดวลชาติจากต่างทวีป ถึงแม้จะไม่ใช่ระดับท็อปของโลกก็ตาม
และที่ชวนให้ตื่นเต้นไปกว่านั้น เมื่อไม่นานมานี้เราได้เห็นข่าวการตั้งโต๊ะแถลงของผู้มีอำนาจในวงการ ที่พยายามกำหนดทิศทาง ปรับเข็มทิศนำทางให้วงการฟุตบอลไทยใหม่อีกครั้ง
บวกกับผลงานในช่วงศึกชิงแชมป์คิงส์คัพ ครั้งที่ 49 ที่แม้จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ (แพ้จุดโทษต่ออิรักในนัดชิงฯ) แต่รูปเกมกับขุมกำลังที่มี ณ ตอนนั้น ต้องบอกว่าทัพช้างศึกทำได้ดี เมื่อเทียบกับเวลาเตรียมทีมที่ มาโน โพลกิง มีอยู่ในมือไม่นานนัก
แต่โอเค ไม่เป็นไร…อีก 1 เดือนในช่วงเดินสายทัวร์ยุโรป เราคงได้นักเตะชุดใหญ่มาเข้าแคมป์ทีมชาติ เพื่อเตรียมทีมลุยคัดบอลโลกโซนเอเชียช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้
แต่ที่สุดแล้วหนังม้วนเดิมถูกหยิบมาฉายซ้ำอีกครั้ง!
มาโนและทีมชาติไทยไม่อาจพานักเตะกำลังหลักบินไปอุ่นเครื่องที่ยุโรปตามความคาดหวัง เหตุเพราะนักเตะบางส่วนมีอาการบาดเจ็บ และหลายคน ‘ติดภารกิจ’ รับใช้สโมสร
ทำให้ภาพรวมลิสต์รายชื่อที่มาโนได้มาในเบื้องต้นคือ เรียกเด็กๆ ชุด U23 เข้ามาเสริมทัพในช่วงเวลาที่แสนสั้น เพื่อผสมโรงกับผู้เล่นชุดใหญ่บางคนที่ต้นสังกัดใจดีส่งมาให้ทีมชาติได้ใช้งาน
ตัดภาพไปที่ทีมคู่แข่งอย่างจอร์เจีย พวกเขาเรียกผู้เล่นตัวหลักมาอย่างครบครัน ทั้งควิชา ควารัตสเคเลีย ดีกรีผู้เล่นยอดเยี่ยมของเซเรีย อา อิตาลี ฤดูกาล 2022/23, จอร์จ มิเคาตาดเซ กองหน้าของอาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัม และอีกหลายคนที่แม้จะไม่คุ้นชื่อ แต่ฝีเท้านั้นไม่ธรรมดาจริงๆ
ก็ประหลาดใจอยู่ลึกๆ ว่านักเตะเหล่านี้ก็ล้วนมีภารกิจในสโมสรที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน หลายคนเล่นใน UCL หลายคนเล่นในลีกระดับที่โคตรเข้มข้น แต่พวกเขายังเดินหน้าเข้าแคมป์ทีมชาติกันปกติ แต่เราทำอะไรกันอยู่?
ตัดภาพมาในสนามเกมนี้ มาโนเลือก 11 ผู้เล่นที่ดีและพร้อมที่สุดลงสนามต่อกรกับคู่แข่งที่เหนือกว่าในทุกขุมกำลัง
และผลงานก็ออกมาเป็นไปตามเนื้อผ้า ความห่างชั้นในรูปแบบและวิถีการเล่นระหว่างไทยกับจอร์เจียนั้นมีมากโขเลยทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องของสปีดและพละกำลังของผู้เล่นในสนาม นักเตะไทยสู้ไม่ได้จริงๆ และยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นภาพสะท้อนที่ทำให้เห็นว่า เมื่อต้องสู้กับบอลระดับโลกแล้ว เราเทียบไม่ติดเลย
เรื่องนี้มีข้อมูลจาก Sport Tech Pro ศูนย์พัฒนานักกีฬาระดับท็อปของไทย ที่มีการเปรียบเทียบด้วย ‘ข้อมูล’ ให้เห็นถึงระดับความเข้มข้น (Intensity) ในเรื่องพื้นฐานที่สุดอย่างการวิ่งของนักฟุตบอลไทย ที่มีการเก็บรวบรวมมาเป็นเวลาร่วม 10 ปี ตั้งแต่ยุคของ วินฟรีด เชเฟอร์ ยังคุมทีม
สิ่งที่เป็นเกณฑ์วัดที่สำคัญไม่ใช่ ‘ระยะทาง’ เพราะต่อให้นักฟุตบอลจะวิ่ง 12-15 กิโลเมตรก็ไม่ได้แปลว่าฟิต เพราะความฟิตจะดูจากการวิ่งในระดับ High Intensity ที่เทียบง่ายๆ คือระยะทางที่วิ่งเร็วกว่า Pace 3
ข้อมูลสถิติของพรีเมียร์ลีกในปี 2004 นั้นระบุว่า นักฟุตบอลพรีเมียร์ลีกวิ่งด้วยความเร็ว Pace 3 กันตลอดทั้งเกมเป็นระยะทางเฉลี่ย 1,000 เมตร
ขณะที่ทีมชาติไทยที่เคยเก็บข้อมูลในปี 2012 ระยะทาง Pace 3 อยู่ที่ 400 เมตรในการแข่งขัน
ต่างกันถึง 60% และนั่นคือ ‘ระดับ’ ที่แตกต่างกัน ซึ่งอย่าลืมว่าปัจจุบันปี 2023 เกมฟุตบอลเล่นกันเร็วขึ้นกว่าเมื่อ 19 ปีที่แล้วมาก ระดับความฟิตของนักฟุตบอลอาชีพในระดับ Tier สูงสุดของโลกย่อมพัฒนาขึ้นอีกขั้น ด้วยวิทยาศาสตร์การกีฬาและการฝึกซ้อมที่เน้นการพัฒนาอย่างจริงจังวัดผลได้
เรื่องนี้บอกอะไร? ก็ดูได้จากครึ่งเวลาแรกที่นักเตะทีมชาติจอร์เจียกระชากลากถูพาบอลผ่านนักเตะทีมชาติไทยง่ายๆ เหมือนเด็กเล่นกับผู้ใหญ่
ทัพช้างศึกเราถูกถลุงในครึ่งแรก 6-0 ผมเชื่อว่าในตอนนั้นแฟนบอลหลายคนที่รับชมคงอยากให้เกมตัดจบที่สกอร์นี้เลย
แต่ความทรมานของจริงยังอยู่ในอีก 45 นาทีที่เหลือ เมื่อผมค้นข้อมูลพบว่า ครั้งล่าสุดที่ทีมไทยโดนถล่มหนักสุดคือการพ่ายแพ้ต่อสหราชอาณาจักร 0-9 ในเกมฟุตบอลโอลิมปิก 1956 หรือ 67 ปีที่แล้ว
ท้ายที่สุดเกม 90 นาทีจบลงที่สกอร์ ‘จอร์เจีย 8-0 ไทย’ ชนิดที่ผมเอามือทาบอก (ดีใจที่โดนไม่ถึง 9 ประตู) ซึ่งนอกจากจะขอบคุณฝั่งจอร์เจียที่ผ่อนเกมในช่วงครึ่งหลังแล้ว อีกคนที่มงต้องลงมากๆ คือ ‘กัมพล ปฐมอรรฆย์กุล’ ที่โชว์ฟอร์มเซฟไป 14 ครั้งในเกมนี้ ไม่งั้นสถิติที่ถือมานาน 67 ปีได้ถูกทุบทิ้งในคืนนี้แน่ๆ
ทีมไทยได้อะไรจากเกมนี้? วางคำถามนั้นไว้ก่อน
แต่ที่ได้แน่ๆ คือทีมไทยกลายเป็นชาติที่โดนจอร์เจียถล่มประตูมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไปแล้ว โดยสถิติชนะด้วยสกอร์สูงสุดก่อนหน้านี้คือการชนะอาร์เมเนีย 7-0
เห็นแบบนี้ ยิ้มแห้งเลยครับ
กลับมาที่คำถามตัวโตๆ “ทีมไทยได้อะไรจากเกมนี้?”
ถ้าให้ตอบชัดๆ แบบอ่านปากน้องณิชาคงบอกว่า “ไม่ได้อะไรเลยครับ”
แม้ว่าหลังจบเกมมาโนจะบอกว่า “เกมนี้เป็นเกมที่สำคัญสำหรับผู้เล่นที่จะได้เรียนรู้จากคู่แข่งที่แข็งแกร่งอย่างจอร์เจีย”
ซึ่งก็จริงที่ในมุมของมาโน ทีมงาน และนักเตะ นี่เป็นโอกาสดีที่เราได้เรียนรู้ประสบการณ์จากฝีเท้านักเตะสไตล์ยุโรป แล้วอย่างไรต่อ? เราจะเอาไปต่อยอดได้อย่างไร
ในเมื่อนักเตะส่วนใหญ่ของชุดนี้จะไม่ได้ไปต่อกับทีม เมื่อโปรแกรมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกกับทีมชาติจีนวนมาถึง เราอาจจะได้นักเตะกำลังหลัก (ที่ควรจะได้ในครั้งนี้) กลับมาติดทีมชาติตามธรรมเนียม
และเมื่อถึงวันนั้นหนังเรื่องเดิมที่ชื่อว่า ‘เวลาเตรียมทีมน้อย’ จะวนกลับมาอยู่ในหน้าสื่อให้แฟนบอลได้เห็นอีกครั้ง
ถึงตรงนี้ผมคิดว่า เราควรตั้งคำถามถึงวิธีคิดกับการเลือกส่งนักเตะทีมชาติไทยไปอุ่นเครื่องกับทีมชั้นนำของโลก หรือแม้แต่โปรแกรมกับทีมในรั้วเอเชียด้วยกันได้หรือยัง?
นี่เป็นเรื่องด่วนที่ควรหันมาใส่ใจเป็นอย่างมาก เพราะหากเรายังไม่หลุดจากมายด์เซ็ตที่ว่า ‘แค่บอลอุ่นเครื่อง…ไม่เอาจริงก็ได้’ ในระยะยาวระบบหรือโครงสร้างฟุตบอลไทยมีปัญหาแน่ เพราะเราจะไม่มีผู้เล่นกำลังหลักมาฝึกซ้อมในนามทีมชาติอย่างชาติอื่นเลย และซ้ำร้ายกว่านั้นคือเราอาจไม่พัฒนาไปได้ไกลกว่านี้อีกเลย
อีกเรื่องที่เป็นปัญหาใต้พรมวงการบอลไทยและรอการแก้ไข คือเรื่องการบริหารจัดการโปรแกรมในระดับสโมสรของและทีมชาติที่ไม่เคยสอดคล้องและเดินหน้าไปพร้อมกันเสียที
ที่ว่าไม่สอดคล้องและเป็นปัญหานั้น ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ นักเตะทีมชาติชุดลุยยุโรปชุดนี้จะเดินทางกลับถึงประเทศไทยในวันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม ช่วงบ่ายโมง ขณะที่โปรแกรมไทยลีกจะเริ่มกลับมาแข่งวันศุกร์ที่ 20 ตุลาคมเป็นต้นไป นั่นหมายความว่าจะมีนักเตะจำนวนไม่น้อยที่มีเวลาพักผ่อนไม่ถึง 24 ชั่วโมงก่อนกลับแคมป์สโมสร (แค่คิดแทนก็เหนื่อยแล้ว)
ดังนั้นสมาคมฯ ผู้บริหารไทยลีก หรือผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องควรหาเวลาสะสางปัญหานี้อย่างจริงจังเสียที เราควรมีโปรแกรมสโมสรและทีมชาติที่เกื้อกูลต่อกัน เพื่อให้สโมสรสามารถปล่อยนักเตะเข้าแคมป์ทีมชาติอย่างไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอยู่แบบนี้ หรือคิดง่ายๆ
ถ้าระดับลีกยุโรปเขาจัดสรรทำกันได้ เราก็ต้องทำได้ครับ
เพียงแต่จากสิ่งที่ กรวีร์ ปริศนานันทกุล ในฐานะประธานไทยลีกโพสต์บนช่องทางส่วนตัวว่า “ความเจ็บปวดจากความพ่ายแพ้ไม่ใช่ ‘สู้ไม่ได้’ แต่เพราะ ‘ไม่ได้เตรียมจะสู้’ ต่างหาก
“ไม่ใช่เรื่องของผลลัพธ์ แต่เป็นเรื่องของวิธีการว่าเราจัดการกับทีม (ของ) ชาติไทย อย่างไร?”
พร้อมแฮชแท็กปิดท้าย #อยู่ในใจอีกหมื่นล้านคำ
อ่านแล้วก็ยังไม่เห็นความตั้งใจที่จะแก้ไขหรือเรียนรู้อะไรจากบทเรียนครั้งนี้เลย
ณ จุดๆ นี้ผมเป็นหนึ่งในคนที่ไม่กล้าฝันว่า ‘บอลไทยจะไปบอลโลก’ เลย (แม้ก้นบึ้งในหัวใจอยากเห็นธงไตรรงค์เราไปโบกสะบัดในเวทีระดับโลกอย่างเวิลด์คัพสักครั้ง)
ที่มันชวนให้คิดแบบนั้น เพราะในเมื่อแค่เรื่องง่ายๆ อย่างการเรียกผู้เล่นที่ดีที่สุดไปติดทีมอุ่นเครื่องตามปฏิทินฟีฟ่าเดย์เรายังทำไม่ได้ เราอย่าเสียเวลาไปเพ้อฝันถึงบอลโลกเลยครับ
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกล่าวโทษสตาฟฟ์โค้ชและนักเตะ ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีแล้ว แต่ผู้มีอำนาจจัดการบริหารนั้นได้ทำเต็มที่หรือยัง ไม่มีใครทราบได้
แต่ที่ได้ทราบแน่ๆ คือ ฟุตบอลทีมชาติไทย (อาจจะ) ไม่ถูกมองเป็นความสำคัญลำดับต้นอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อภาพความเป็นจริงสะท้อนให้เห็นกันชัดๆ แบบนี้
และถ้าในอนาคตยังไม่คิดเปลี่ยนแปลงระบบฟุตบอลของชาติ โปรดอย่าได้ไปนัดทีมระดับท็อปให้เขาต้องเสียโปรแกรมอันมีค่ามาเตะกับเราโดยไม่เกิดประโยชน์เลย
ตอนนี้ผมไม่แน่ใจแล้วว่า ท่านผู้มีอำนาจมีความรัก หรืออยากเห็นบอลไทยไปบอลโลกกันจริงๆ ใช่ไหม?
หากไม่เชื่อและไม่เห็นค่ากับเรื่องนี้ โปรดอย่านำมาใช้เป็นเรื่องประหนึ่งนิทานหลอกเด็ก และสร้างความอับอายให้คนไทยอีกเลย