นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญตลาดน้ำมันต่างออกมาคาดการณ์ความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันดิบอาจพุ่งสูงขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ อันเป็นผลพวงจากการโจมตีอิสราเอลโดยกองกำลังฮามาส ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธของปาเลสไตน์
อย่างไรก็ตาม เหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานระบุว่า หากความขัดแย้งไม่บานปลาย ผลกระทบจากเหตุขัดแย้งที่เกิดขึ้นก็น่าจะเป็นไปอย่างจำกัด โดย Vandana Hari ซีอีโอของ Vanda Insights กล่าวว่า นักลงทุนอาจได้เห็นราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นเมื่อตลาดเปิดในวันจันทร์ (9 ตุลาคม) และราคามีแนวโน้มจะคงตัวในระดับสูงจนกว่าตลาดจะวางใจได้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ และอุปทานน้ำมันและก๊าซของตะวันออกกลางจะไม่ได้รับผลกระทบ
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ค่อนข้างมั่นใจว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกน่าจะไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากทั้งอิสราเอลและปาเลสไตน์ไม่ใช่ผู้เล่นน้ำมันรายใหญ่ กระนั้นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภูมิภาคที่มีบทบาทหลักต่อการผลิตน้ำมันก็ทำให้ไม่อาจวางใจได้ โดยนักวิเคราะห์ต่างจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากหวั่นเกรงว่าสถานการณ์อาจมีแนวโน้มลุกลามต่อไป ขณะที่ Hari ชี้ว่า แม้ความขัดแย้งจะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการผลิตหรืออุปทานน้ำมัน แต่ก็ยังคงอยู่ใกล้แค่เอื้อมของภูมิภาคที่ผลิตและส่งออกน้ำมันที่สำคัญ
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐอเมริกา (EIA) เปิดเผยว่า ปัจจุบันอิสราเอลมีโรงกลั่นน้ำมัน 2 แห่ง ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมเกือบ 300,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับตลาดน้ำมันดิบโลก
ด้านความเห็นของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ล้วนสอดคล้องกับ Hari รวมถึง Iman Nasseri กรรมการผู้จัดการฝ่ายที่ปรึกษาด้านพลังงานในตะวันออกกลาง ซึ่งให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่าผลกระทบต่อราคาน้ำมันจะเป็นไปอย่างจำกัด เว้นแต่ตลาดจะเห็นว่า ‘สงคราม’ ระหว่างทั้งสองฝ่ายขยายตัวอย่างรวดเร็วไปสู่สงครามระดับภูมิภาคที่สหรัฐฯ และอิหร่าน และผู้สนับสนุนอื่นๆ ของทั้งสองฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง
ขณะเดียวกัน Pierre Andurand นักธุรกิจและผู้จัดการกองทุนป้องกันความเสี่ยงชาวฝรั่งเศส กล่าวว่า เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่ที่ผลิตน้ำมันขนาดใหญ่ สงครามจึงไม่น่าจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในระยะสั้น ดังนั้นราคาน้ำมันแม้จะขยับขึ้นแต่ไม่น่าจะขยับพุ่งสูงขึ้นมากในช่วงไม่กี่วันก่อนหน้านี้ แต่หากยืดเยื้อออกไป ในที่สุดสถานการณ์ดังกล่าวก็อาจส่งผลกระทบต่ออุปทานและราคา เนื่องจากสต๊อกน้ำมันทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ และการลดการผลิตโดยกลุ่ม OPEC ทำให้โลกมีแนวโน้มต้องดึงน้ำมันจากสต๊อกเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งในที่สุดตลาดจะต้องร้องขออุปทานของซาอุดีอาระเบียเพิ่มขึ้น
Andurand ประเมินว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์ไม่น่าจะขึ้นไม่ต่ำกว่า 110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
คำเตือนครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่ราคาน้ำมันดิบเพิ่งแตะระดับสูงสุดในรอบกว่าหนึ่งปี ก่อนที่จะขยับตัวลดลงมาเพียงไม่นาน
แนวโน้มที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นมีสาเหตุมาจากกองกำลังติดอาวุธกลุ่มฮามาส ที่ได้ขึ้นบัญชีองค์กรก่อการร้ายในสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักร ได้ดำเนินการโจมตีครั้งใหญ่สุดในรอบ 50 ปี ทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศต่ออิสราเอลเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (7 ตุลาคม) ระหว่างวันหยุดสำคัญของชาวยิว โดยการบุกรุกดังกล่าวยังเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่กลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ยิงจรวดหลายพันลูกเข้าสู่อิสราเอลจากฉนวนกาซา
แรงโจมตีดังกล่าวส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายร้อยราย และมีรายงานการลักพาตัวผู้หญิง เด็ก และคนชรา
Benjamin Netanyahu นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ประกาศภาวะสงครามทันที และระบุว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ต้องชดใช้ รวมทั้งกล่าวว่าอิสราเอลได้เริ่มรุกแล้ว และจะดำเนินต่อไปโดยไม่มีข้อจำกัดหรือผ่อนปรนจนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ โดยผู้นำอิสราเอลให้คำมั่นว่าจะให้บทเรียนราคาแพงกับศัตรูในฉนวนกาซา
รายงานระบุว่า ภายหลังประกาศไม่นาน ทางการอิสราเอลมีคำสั่งตัดการลำเลียงขนส่งไฟฟ้า เชื้อเพลิง และสินค้าไปยังพื้นที่ที่ชาวปาเลสไตน์อาศัยอยู่ 2.3 ล้านคน
ตัวเลขล่าสุดขณะที่เปิดเผยรายงาน พบว่ามีชาวอิสราเอลเสียชีวิตอย่างน้อย 250 ราย และบาดเจ็บมากกว่า 1,860 ราย ในจำนวนนี้มี 320 รายที่อาการสาหัส ขณะที่ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์ พบว่ามีผู้เสียชีวิต 256 ราย และบาดเจ็บ 1,790 ราย ในพื้นที่ฉนวนกาซา
ขณะที่ล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (8 ตุลาคม) กลุ่มติดอาวุธฮิซบอลเลาะห์ของเลบานอนยืนยันว่าได้เปิดการโจมตีในพื้นที่ 3 แห่งในฟาร์มชีบา ซึ่งเป็นพื้นที่บริเวณสี่แยกชายแดนเลบานอน-ซีเรีย และที่ราบสูงโกลาน ซึ่งถูกอิสราเอลยึดครอง ขณะที่กองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอลยืนยันว่าได้จัดการโจมตีคืนแล้ว โดยพุ่งเป้าไปที่โครงสร้างพื้นฐานของผู้ก่อการร้ายฮิซบอลเลาะห์
อ้างอิง: