วันนี้ (2 ตุลาคม) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ให้สัมภาษณ์ว่า การที่ ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ไม่แสดงเจตจำนง เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้พรรคก้าวไกลใช้อำนาจขับปดิพัทธ์พ้นจากการเป็นสมาชิกภาพ เพื่อรักษาไว้ซึ่งตำแหน่งรองประธานสภา และพรรคจะได้สิทธิ์เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งสังคมวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก เพราะเป็นเรื่องที่ผิดปกติของพรรคที่เคยหาเสียงว่าจะทำการเมืองแบบคนรุ่นใหม่ที่ตรงไปตรงมา ไม่จำเป็นต้องมีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ แต่พฤติการณ์ของพรรคก้าวไกลและปดิพัทธ์ไม่ต่างจากพรรคการเมืองเดิมๆ ที่ผ่านมา ยังอยู่ในวังวนน้ำเน่าที่ชาวบ้านตั้งฉายาไว้ และอาจเป็นเรื่องของการใช้เล่ห์กล ใช้มติเลี่ยงกฎหมาย อาจจะไม่ถูกต้องนัก พฤติกรรมแบบนั้นอาจสร้างความเสื่อมเสียให้กับสภาผู้แทนราษฎร ให้กับ สส. และพรรคก้าวไกลในฐานะพรรคการเมืองต้นสังกัด แม้ว่าเรื่องดังกล่าวกฎหมายอาจจะเอื้อมไม่ถึง
ศรีสุวรรณยังกล่าวอีกว่า แต่หากพิจารณาตามข้อบังคับพรรคก้าวไกลที่ กกต. รับรองไว้เมื่อปี 2563 จะพบว่าการจะคัดชื่อออกจากการเป็นสมาชิกพรรคต้องเข้าข่ายละเมิดวินัยพรรค หรือผิดจรรยาบรรณของพรรค เมื่อดูข้อบังคับพรรค 119 ประกอบ 121 ไม่ได้ระบุเรื่องดังกล่าวไว้อย่างชัดเจน และการที่ปดิพัทธ์ยังคงรักษาตำแหน่งรองประธานสภา ไม่ใช่เรื่องความผิดวินัยอย่างร้ายแรง หรือผิดจรรยาบรรณอย่างร้ายแรง ดังนั้น การใช้อำนาจของกรรมการบริหารพรรค และ สส. พรรคก้าวไกลน่าจะเข้าข่ายการฝ่าฝืนจริยธรรม ซึ่งเป็นมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงขอให้ ป.ป.ช. ดำเนินการตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่ หากพบเข้าข่ายฝ่าฝืน ป.ป.ช. ต้องส่งเรื่องไปยังศาลฎีกาให้วินิจฉัยหรือพิพากษาลงโทษ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีนี้จะส่งผลต่อความสง่างามในการทำหน้าที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎรของปดิพัทธ์หรือไม่ ศรีสุวรรณกล่าวว่า เชื่อว่าจะกระทบอย่างแรงและคงจะถูกการตีรวนในการทำหน้าที่ในสภาของ สส. พรรครัฐบาล หรือพรรคอื่นๆ ที่ตั้งป้อมว่าจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาอยู่แล้ว
“เรื่องความสง่างามของพรรคก้าวไกลที่เคยหาเสียง ที่เคยพูดมาก่อนหน้านี้จะหายไปโดยทันที เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องได้อาจไม่เท่าเสียของหมออ๋องและพรรคก้าวไกล” ศรีสุวรรณกล่าว
ศรีสุวรรณยังกล่าวอีกว่า สัปดาห์หน้าตนจะนำพยานหลักฐานกรณีที่ปดิพัทธ์โชว์กระป๋องเบียร์และโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มายื่นเพิ่มเติมให้กับ ป.ป.ช. ซึ่งเคยได้ยื่นเรื่องให้ตรวจสอบจริยธรรมไว้ก่อนหน้านี้แล้ว สำหรับหลักฐานที่สำคัญคือการที่ปดิพัทธ์ไปยอมรับสารภาพต่อคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ ซึ่งมีสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลกเป็นประธาน และได้เปรียบเทียบปรับจำนวน 50,000 บาท ถือเป็นการยอมรับความผิดของตัวเอง
ทั้งนี้ตนจะยื่นหลักฐานให้ ป.ป.ช. เพื่อเป็นการยืนยันว่า กรณีการไปโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นการผิดกฎหมายอย่างชัดเจน มีหลักฐานยืนยัน และเข้าข่ายที่เคยร้องความผิดตามประมวลจริยธรรม