บรรดานักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจต่างประเมินสถานการณ์การนัดหยุดงานประท้วงของสหภาพแรงงานยานยนต์ หรือ United Auto Workers ครั้งใหญ่ที่ยืดเยื้อเป็นครั้งที่สี่ เมื่อวันจันทร์ (18 กันยายน) ที่ผ่านมา ซึ่งกูรูชี้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงปัญหาในการจัดการแรงงาน พร้อมเตือนว่าหากการประท้วงยังคงยืดเยื้อ อาจเริ่มส่งผลกระทบการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญหากยังคงมีอยู่
รายงานระบุว่า จนถึงขณะนี้ การหยุด United Auto Workers (UAW) ยังคงส่งผลกระทบจำกัดต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง โดย Ian Shepherdson หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Pantheon Macroeconomics เตือนว่า หากการนัดหยุดงานขยายวงกว้างและยืดเยื้อออกไป ผลกระทบจากการนัดหยุดงานอาจสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อสหรัฐฯในระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนได้
แน่นอนว่า การนัดหยุดงานประท้วงครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น แต่เป็นครั้งแรกที่ทาง UAW ได้ใช้แนวทางใหม่ในการหยุดงานประท้วง โดยพุ่งเป้าไปที่โรงงานของ Ford, GM และ Stellantis สามผู้ผลิตยานยนต์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ หรือ Big Three ก่อน ซึ่งหากสถานการณ์ร้อนแรงขึ้นและดึงให้สมาชิกสหภาพแรงงานจำนวน 146,000 คนทั้งหมดเข้ามามีบทบาทด้วยก็จะสร้างแรงกระเพื่อมที่ขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ในกรณีดังกล่าว Shepherdson มองเห็นความเป็นไปได้ที่สถานการณ์จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ รายไตรมาสถึง 1.7% ต่อ GDP เนื่องจากการนัดหยุดงานบ่อยๆ ในที่สุดจะกระทบต่อการผลิตยานยนต์ของสหรัฐฯ ซึ่งมีสัดส่วนคิดเป็น 2.9% ต่อ GDP ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสหรัฐฯ ที่สภาวะทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ในภาวะเปราะบางที่อาจเข้าสู่ภาวะถดถอยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าได้
ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญยังมองว่า ในกรณีที่การหยุดงานประท้วงในวงกว้างจะทำให้การกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในการพยายามลดอัตราเงินเฟ้อโดยไม่ทำให้เศรษฐกิจหดตัวมีความซับซ้อนมากขึ้น
Shepherdson ย้ำว่า ปัญหาสำหรับ Fed ก็คือ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้แบบเรียลไทม์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวสามารถทนกับการประท้วง ตลอดจนปัจจัยอื่นๆ ได้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อใช้จ่ายในช่วงเวลาที่เริ่มมีการชำระเงินคืนกู้ยืมเพื่อการศึกษาอีกครั้ง
จนถึงขณะนี้ การนัดหยุดงานประท้วงเฉพาะภายในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเพียงเดือนเดียว พบว่ามีชั่วโมงการทำงานหายไปประมาณ 4.1 ล้านชั่วโมงแล้วในปีนี้ ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2000 เมื่อรวมกับเดือนกรกฎาคม ชั่วโมงการทำงานหายไปเกือบ 6.4 ล้านชั่วโมงจากการหยุด 20 ครั้ง โดยก่อนหน้านี้ การหยุดงานประท้วงในแต่ละปีเฉลี่ยสูญชั่วโมงการทำงานไป 7.4 ล้านชั่วโมง
ทั้งนี้ หลายฝ่ายต่างคาดหวังให้ทั้งสองฝ่ายสามารถเจรจาบรรลุข้อตกลงร่วมกันที่ win-win ด้วยกันทั้งหมด ซึ่งจะเป็นทางออกที่ดีสุดที่จะยุติปัญหาการนัดหยุดงานประท้วงในครั้งนี้
อ้างอิง: