ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่ประชุมร่วมรัฐสภามีมติเห็นชอบให้ เศรษฐา ทวีสิน ผู้ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคเพื่อไทยได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ขณะที่รายชื่อคณะรัฐมนตรีเริ่มลงตัว โดยนายกรัฐมนตรีจะควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ สัญญาณบวกด้านเศรษฐกิจก็เห็นเด่นชัดขึ้น เห็นได้จากตลาดหุ้นที่ปรับบวกถึงกว่า 2.5%
แต่คำถามสำคัญคือ นโยบายต่างๆ ของพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายหลัก คือ 1. กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทต่อคน 2. การขึ้นค่าแรงให้ไม่ต่ำกว่า 600 บาทต่อวัน 3. ขึ้นเงินเดือนของผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี อยู่ที่ 25,000 บาทขึ้นไป และ 4. พักหนี้และดอกเบี้ยเกษตรกร 3 ปี จะสามารถทำได้หรือไม่ อย่างไร และผลต่อเศรษฐกิจและการลงทุนจะเป็นเช่นไร บทความนี้พยายามที่จะตอบคำถามนี้
ในเชิงวิชาการตามหลักการเศรษฐมิติ นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทต่อคน ที่ใช้วงเงินกว่า 5 แสนล้านบาทนั้น มีต้นทุนทางการคลังถึงประมาณ 2.9% ของ GDP ขณะที่จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มได้ประมาณ +0.7% ของ GDP ขณะที่นโยบายขึ้นค่าแรงและขึ้นเงินเดือนของผู้จบการศึกษาปริญญาตรีนั้นคำนวณได้ยากกว่า เพราะจะต้องคำนวณผลบวกจากการที่แรงงานต่างๆ ได้เม็ดเงินมาใช้จ่ายมากขึ้น และหักลบกับการที่นายจ้างส่งผ่านต้นทุนค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นไปสู่ผู้บริโภค โดยจากการคำนวณของเราให้ผลประมาณ 0.2-0.3% ของ GDP
ด้านการพักหนี้และดอกเบี้ยของเกษตรกร 3 ปีนั้นคำนวณยากเช่นกัน เนื่องจากการที่เกษตรกรจะนำเงินส่วนเกินที่ได้จากการพักหนี้ไปใช้จ่ายและก่อให้เกิดผลผลิตเพิ่มเติม (เช่น ซื้อวัสดุหรือวัตถุดิบการเกษตร) หรือไม่นั้น เป็นการตัดสินใจของเกษตรกร แต่หากตั้งสมมติฐานว่าเกษตรกรนำเงิน 50% ไปใช้จ่ายต่อนั้น จะมีผลต่อเศรษฐกิจประมาณ +0.1% ของ GDP ดังนั้นหากรวม 4 นโยบายที่เป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจแล้ว การคำนวณเบื้องต้นบ่งชี้ว่าจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นได้อีก +1% จากกรณีฐาน
อย่างไรก็ตาม ในเชิงปฏิบัติ หลายโครงการที่กล่าวไปนั้นยังต้องการรายละเอียดในเชิงปฏิบัติ โดยเฉพาะโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่เป็นนโยบายชูโรงรัฐบาลเพื่อไทย โดยรายละเอียดของโครงการคือ ประชาชนทุกคนอายุ 16 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินดิจิทัลวงเงิน 10,000 บาท ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้นโดยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดยมีระบบบล็อกเชน (Blockchain) ที่เอื้อต่อการระบบชำระเงินในรูปแบบใหม่ ซึ่งนำมาสู่คำถามสำคัญ 5 คำถาม
คำถามแรกคือ งบประมาณจากส่วนไหน ซึ่งคำตอบเบื้องต้นระบุที่มาของเงินจาก 4 แหล่ง ได้แก่
- รายรับจากภาษีของรัฐบาลในปี 2567 ซึ่งประมาณการว่าจะเพิ่มขึ้น 2.6 แสนล้านบาท
- การจัดเก็บภาษีที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอีก 1 แสนล้านบาท
- การบริหารจัดการงบประมาณ (หรือการโยกงบประมาณจากกระทรวงอื่นๆ ที่ไม่ใช่โครงการเร่งด่วน) วงเงิน 1.1 แสนล้านบาท
- การบริหารงบประมาณสวัสดิการที่ซ้ำซ้อน 9 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรายละเอียดยังไม่ชัดเจน เช่น ไม่ได้ระบุว่าสวัสดิการใดที่จะถูกปรับลด รวมถึงงบที่ถูกโยกออกมานั้นมาจากกระทรวงใด ซึ่งจะมีผลสำคัญต่อการสร้าง GDP ด้วยเช่นกัน
คำถามที่สอง แพลตฟอร์มรองรับ จะใช้แพลตฟอร์มอะไรรองรับคนจำนวน 50 ล้านคน ใช้ระบบบริหารจัดการใด ระบบจะรองรับการยืนยันตัวตนระดับหลายสิบล้านคนได้ไหม รองรับปริมาณการซื้อขายในแต่ละชั่วโมงได้อย่างไร
ทั้งนี้ แพลตฟอร์มที่เร็วที่สุดในปัจจุบันคือ Solana Network ของ PayPal ซึ่งทำได้ 50,000 ธุรกรรมต่อวินาที ถ้าคนไทย 10% (หรือ 7 ล้านคน ทำธุรกรรมพร้อมกัน เช่น ซื้อข้าวเที่ยง จะทำให้ปริมาณธุรกรรมเพิ่มขึ้น 100 เท่าของอัตราดังกล่าว) และอาจทำให้ระบบล่มได้
คำถามที่สาม การเปลี่ยนคูปองพร้อมใช้เป็นเงินสดหลังจากที่ได้ทำธุรกรรมเหล่านั้น โดยประเด็นสำคัญคือ เมื่อผู้ค้าได้รับการจ่ายเงินเป็นเงินดิจิทัลนี้แล้ว จะสามารถนำไปใช้ต่อ เช่น เพื่อจ่ายเงินค่าจ้างแก่ลูกจ้าง หรือเพื่อซื้อวัตถุดิบได้หรือไม่ จะติดอยู่กับข้อจำกัดว่าจะต้องใช้ในรัศมีจำกัดหรือไม่ หรืออาจสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ โดยหากไม่สามารถเอาเงินสดออกมาได้ หรือมีข้อจำกัดไม่สามารถใช้ต่อได้ ก็ยากที่จะเกิดการหมุนของเงิน (Velocity) ที่จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวขึ้น
นอกจากนั้นยังมีประเด็นในเชิงกฎหมาย เช่น การวัดภาษีมูลค่าเพิ่มทำอย่างไร รวมถึงหากนำเงินดิจิทัลออกเป็นเงินสดได้ จะมีทั้งประเด็นกับธนาคารแห่งประเทศไทยที่ไม่อนุญาตให้ใช้สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนแบบอื่น ตาม พ.ร.บ.เงินตรา นอกจากนั้นยังมีประเด็นเรื่องงบประมาณ (โดยรัฐจะสามารถหาเงินมาสำรองได้หรือไม่) และประเด็นการฉ้อโกง เช่น ไม่มีการทำธุรกรรมจริง แต่ออกใบเสร็จปลอมเพื่อดึงเงินออกมาใช้
คำถามที่สี่ คือ การกำหนดรัศมีการใช้จ่าย แม้ว่าจะเป็นหลักการที่ดีที่ทางพรรคเพื่อไทยต้องการให้ผู้มีเงินดิจิทัลนำเงินดังกล่าวไปใช้ในธุรกิจที่อยู่ใกล้ที่พัก อย่างไรก็ตาม ในเชิงปฏิบัติค่อนข้างยาก โดยเฉพาะผู้ที่ห่างจากแหล่งพำนักเดิม นอกจากนั้นในประเด็นที่ได้กล่าวมาแล้ว เช่น การโอนเงินนี้ต่อ จะถูกข้อจำกัดนี้หรือไม่ อย่างไร
คำถามที่ห้า คือ กระบวนการใช้ของร้านค้าในทางปฏิบัติจะยาก-ง่ายเพียงใด โดยแม้ว่าแนวคิดจะเป็นการดี เนื่องจากเป็นการดึงร้านค้ารายเล็กเข้ามาจดทะเบียนในระบบ จะเป็นข้อมูลในการทำฐานภาษี รับทราบรายได้ แต่ในทางปฏิบัติจะต้องมีเครื่องมือรองรับเพียงพอ เช่นเดียวกับเครื่อง EDC (Electronic Data Capture) ที่ใช้ในการทำธุรกรรมกับบัตรเครดิตหรือไม่ (โดยเฉพาะผู้ที่จะใช้เงินดิจิทัลผ่านบัตรประชาชน)
คำถามเหล่านี้และอื่นๆ เป็นคำถามในเชิงปฏิบัติที่ทางพรรคเพื่อไทยต้องตอบ เพื่อให้โครงการดังกล่าวสำเร็จลุล่วง และทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้เพิ่มขึ้นตามที่ได้ตั้งความหวังไว้ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจในปี 2024 ขยายตัวดีขึ้นจากที่เราเคยคาดไว้เดิม และเป็นส่วนช่วยต้านปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจจากภายนอกได้
ทั้งนี้ เรามองว่าการได้รัฐบาลใหม่เข้าบริหารประเทศน่าจะมีผลช่วยทำให้การเบิกจ่ายภาครัฐกลับมาเป็นปกติและเป็นส่วนช่วยเศรษฐกิจไทยได้ หลังจากที่ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2023 เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพียง 1.8% ต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้ที่ 2.5-3.0% โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากการจัดตั้งรัฐบาลที่ช้ากว่าที่ควรจะเป็น ทำให้การเบิกจ่ายงบประจำและงบลงทุนล่าช้า และเป็นส่วนลบต่อเศรษฐกิจถึงกว่า 0.8%
เรามองว่าหากการจัดตั้งรัฐบาลสามารถทำได้ในเดือนกันยายน จะทำให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้สามารถขยายตัวได้ 2.7% ขณะที่ในปีหน้าเรามองว่าเศรษฐกิจไทยจะยังขยายตัวได้ประมาณ 3.0% แต่ถ้านโยบายเศรษฐกิจต่างๆ โดยเฉพาะเงินดิจิทัล 10,000 บาท ทำได้สำเร็จ อาจทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 4.0% ได้
ในส่วนของหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการของพรรคเพื่อไทยนั้น เรามองว่าจะเป็นหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีก อาหารและเครื่องดื่ม เช่น TNP, CPALL, CPAXT, BJC, OSP, HTC เป็นต้น
- รวมทุกช่องทาง InnovestX Official ให้คุณได้ติดตามข้อมูลข่าวสารการลงทุนรอบโลก คลิก: https://linktr.ee/InnovestX
- เปิดบัญชีลงทุน InnovestX วันนี้! เปิดครั้งเดียวลงทุนได้ครบทั้งจักรวาลการลงทุน โหลดเลย คลิก: https://innovestx.onelink.me/23if/bywa6d5r
- ติดตามบทวิเคราะห์การลงทุนอื่นๆ เพิ่มเติมจาก InnovestX คลิก: https://bit.ly/respublisher
- #InnovestX #InnovestXResearch #InnovestXApp #จักรวาลการลงทุนในมือคุณ
- *ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้