“ผมตั้งความหวังไว้ว่าผมจะเป็นอะไรตั้งแต่เด็ก และผมไม่เคยเปลี่ยน โชคดีที่ไม่เปลี่ยน เพราะตั้งใจจะเป็นทหาร แต่ไม่ได้ตั้งใจเป็นนายกฯ” คือคำยืนยันของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อีกครั้งต่อบทบาทการเป็นผู้นำฝ่ายบริหาร บนเวทีปาฐกถาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในเช้าวันนี้
โดยพลเอก ประยุทธ์ ได้กล่าวกับนิสิตจุฬาฯ และบุคลากรในหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มารอรับฟังในหัวข้อ ‘จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับการขับเคลื่อนประเทศในระยะเปลี่ยนผ่าน’ โดยใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมง ก่อนชูมือทำสัญลักษณ์ไอเลิฟยูบนเวทีส่งให้ทุกคนในหอประชุม หลังจากนั้นได้ลงมาทักทายคณาจารย์และนิสิต
ช่วงหนึ่งของการกล่าวปาฐกถา นายกฯ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการขับเคลื่อนการทำงานของรัฐบาลว่า ระยะเปลี่ยนผ่านเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถทราบได้ว่าจะเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ดีหรือไม่ดี แต่ต้องทำให้ดีที่สุด และอะไรที่ทำให้เกิดความขัดแย้งก็ต้องช่วยทำให้คลี่คลาย และทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม
“วันนี้ต้องมองไปข้างหน้า ไม่ใช่มองแต่อดีตอย่างเดียว อดีตคือสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ หากสิ่งใดผิดพลาดก็อย่าทำอีก วันนี้คือประวัติศาสตร์ของวันหน้า อยากให้ทุกคนเตรียมการรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง โดยการเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่การพัฒนาที่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนตามแผนปฏิรูปประเทศ แม้จะทำไม่ได้ในวันเดียว แต่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการผลิตนักศึกษาที่ต้องผลิตในทุกปีๆ สำหรับยุทธศาสตร์ชาติ แม้ว่าจะกำหนดไว้ 20 ปี แต่ในความเป็นจริงสามารถเปลี่ยนแปลงได้หากมีเหตุผลและความจำเป็น เพื่อให้ยุทธศาสตร์ชาติเปรียบเสมือนเรือธงที่จะนำประเทศไปสู่เป้าหมายใหญ่ ในขณะที่นโยบายของฝ่ายการเมืองก็สามารถนำมาปรับใช้คู่ขนานกันได้”
ขณะที่การเดินทางมาปาฐกถาของนายกฯ ในครั้งนี้มีรายงานว่ามีนิสิตมาเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมาก โดยก่อนเริ่มงาน นิสิตที่พักหอพักของมหาวิทยาลัยได้ทยอยกันมาลงทะเบียน ซึ่งจะต้องใช้บัตรนิสิตของตัวเองไปแลกคิวอาร์โค้ดกับเจ้าหน้าที่เพื่อสแกนในช่วงขาเข้า และเมื่อเข้ามายังบริเวณหน้าห้องประชุมก็จะต้องสแกนลายนิ้วมือเพื่อแสดงตนอีกครั้ง พร้อมกับโชว์คิวอาร์โค้ดรับคะแนนกิจกรรม
ในบรรดานิสิตทั้งหมดที่สนใจเข้าร่วมรับฟังปาฐกถา ดูเหมือน เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล จะถูกจับตาถึงความเคลื่อนไหวเป็นพิเศษ มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทำการแยกตัวเขาขึ้นไปนั่งบนชั้นลอยของหอประชุม และมีสันติบาลคอยประกบอยู่ โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปสังเกตการณ์แต่อย่างใด
โดยเนติวิทย์ได้แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “ยังไม่ทันเข้าหอประชุมฟังนายกฯ ประยุทธ์ เจ้าหน้าที่จุฬาฯ-ตำรวจก็เข้ามาหาเต็ม พอไปนั่งยังมีเจ้าหน้าที่สี่มุมประกบห่างๆ จะคุ้มครองผมอะไรกันขนาดนี้ นี่มางานวิชาการในมหาวิทยาลัยที่บอกว่าส่งเสริมเสรีภาพทางความคิดและวิชาการนะ”
พร้อมกันนี้ยังปรากฏภาพเนติวิทย์สวมมาสก์กรองอากาศและจุกโฟมอุดหูในระหว่างรับฟังการบรรยายจากนายกฯ โดยให้สัมภาษณ์กับมติชนออนไลน์ว่า
“การพูดของพลเอก ประยุทธ์ ไม่มีสาระ การมาฟังของตนในวันนี้ก็ถูกกันให้ไปฟังบนชั้นสอง จริงๆ ผมอยากบอกพลเอก ประยุทธ์ ว่าชาวบ้านเดือดร้อนขนาดไหน เรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและการคอร์รัปชัน วันนี้นายกฯ มาพูดตลกๆ สวยๆ ผู้บริหารจุฬาฯ ก็เชียร์กัน เพราะข้อเสนอเท่าที่เห็นคือต้องการเงิน ไม่ได้ต้องการความจริง”
หลังการปาฐกถาของนายกฯ เสร็จสิ้น มีรายงานว่าระหว่างที่นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ได้มีนิสิตจุฬาฯ 3 คนมายืนชูป้ายชาวจุฬาฯ รักลุงตู่ (เผด็จการ) โดยขีดกากบาทที่คำว่า ‘ลุงตู่’ ก่อนที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะเข้ามาดึงป้ายดังกล่าวจนฉีกขาด ซึ่งนายกฯ ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ปล่อยให้นิสิตทำกิจกรรมไป เพราะหากเขาไม่เข้าใจก็ปล่อยไป
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ข่าวการเดินทางมาปาฐกถาพิเศษของพลเอก ประยุทธ์ ตกเป็นจุดสนใจ เมื่อมีรายงานว่าเพจเฟซบุ๊กสำนักงานหอพักนิสิต จุฬาฯ ได้เขียนข้อความแจ้งเชิญชวนนิสิตหอพักเข้าฟังปาฐกถาพิเศษจากนายกรัฐมนตรี โดยจะมีการให้คะแนนนิสิตที่เข้าฟังเป็นคะแนนกิจกรรมหอพักด้วย ซึ่งจะต้องแต่งกายด้วยชุดนิสิตถูกระเบียบ ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบตามมาว่าเป็นการใช้คะแนนเพื่อจูงใจนิสิตให้เข้าร่วมกิจกรรม
อ้างอิง: