ถ้าบอกว่าสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่ฉันทั้งรักและเกลียด หลายคนคงบอกว่า “บ้าแล้ว บ้าแน่ๆ ใครกันจะไปเกลียดประเทศนี้ได้ลง” อยากตะโกนบอกไปเหลือเกินว่า “-ูนี่แหละ!” (เซนเซอร์คำหยาบไว้) ไปสวิตเซอร์แลนด์มา 3-4 ครั้ง สารภาพตามตรงว่าไม่เคยรู้สึกชอบประเทศนี้เลย แต่พอไม่ได้ไปแล้วก็คิดถึงภูเขาสูง น้ำทะเลสาบใสๆ และบรรยากาศแห่งความสงบที่เราเคยประสบพบเจอ

 

ชีวิตความเป็นอยู่ของคนสวิส ตื่นเช้ามาพบวิวท้องน้ำสวยที่มีฉากหลังเป็นเทือกเขาสูง นั่งจิบกาแฟ อ่านหนังสือพิมพ์ริมระเบียงท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ไร้มลทิน มีเสียงลม เสียงใบไม้ขับกล่อมคลอเคลียระเรื่อหู ยิ่งช่วงหน้าร้อนที่แสงแดดจัด เหล่ามวลไม้ผลิบาน รอบตัวเต็มไปหมดสีสันของพันธุ์ไม้ สายหน่อยก็ขับเรือออกไปจอดยังตัวเมือง หาของอร่อยกิน ช้อปสินค้านิดหน่อยก็แว๊นเรือกลับยังท่าเรือหน้าบ้าน อะไรจะดีขนาดนั้น ทุกอย่างที่เป็นสวิตฯ ทำให้ฉันรู้สึกเซ็งปนอิจฉา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือเสน่ห์เหลือล้นที่ทำให้นักเดินทางกว่าค่อนโลกขวนขวายดั้นด้นมา

 

ทรงกลด บางยี่ขัน นักคิด นักเขียน และบรรณาธิการ The Cloud เคยเขียนไว้ในหนังสือ ดาวหางเหนือทางรถไฟ ว่า การเดินทางเปรียบเสมือนการเรียน มีสถานที่บังคับที่ต้องไปเยือน เหมือนวิชาบังคับที่ต้องเรียนถึงจะจบหลักสูตร สวิตเซอร์แลนด์ก็เช่นกัน ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfraujoch) คือวิชาภาคบังคับที่นักเดินทางทุกคนต้องมายามเมื่อเยือนสวิตเซอร์แลนด์ การเดินทางไปเยือนยอดเขาจุงเฟรา คุณต้องพาตัวเองมาหยุด ณ เมืองอินเทอร์ลาเคน (Interlaken) เมืองเล็กทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐเบิร์น (Berne) บริเวณเชิงเขาทางเหนือของ Swiss Alps จุดเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟที่จะขึ้นไปยังยอดจุงเฟรา

Interlaken เมืองแห่งสองทะเลสาบ

คนส่วนใหญ่เวลาเดินทางไปเมืองอินเทอร์ลาเคน 99.99% ต้องนั่งรถไฟมาลงยังสถานีอินเทอร์ลาเคน โอสต์ (Interlaken Ost.) แต่ฉันแนะนำให้คุณใช้ Swiss Pass ให้เป็นประโยชน์ เปลี่ยนทางบกมาเป็นทางน้ำ เลือกโดยสารเรือท่องเที่ยวแบบเครื่องจักรไอน้ำแทนรถไฟที่ใครๆ ก็นั่งกัน

 

ล่องผ่านทะเลสาบเบรียนซ์ (Lake Brienz) สู่คลองสายเล็กในเมืองอินเทอร์ลาเคน ระหว่างสองข้างทางมองเห็นบ้านเรือนสีสันสดใสสไตล์สวิส ชาเลต์ ตั้งรวมกันเป็นหย่อมๆ เบื้องหลังเป็นเทือกเขาสูงตระหง่านมีทุ่งหญ้าให้ฝูงสัตว์เดินเล่น สวยงาม

 

เข้าสู่คลองอินเทอร์ลาเคน

 

บรรยากาศสองข้างทางระหว่างนั่งเรือ

 

อินเทอร์ลาเคนเป็นหนึ่งในเมืองยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว ถูกขนาบข้างด้วย 2 ทะเลสาบเบรียนซ์และทูน (Lake Thun) ที่มาของชื่ออินเทอร์ลาเคนมีความหมายว่า ‘เมืองระหว่างสองทะเลสาบ’ ตัวเมืองบรรยากาศคึกคักไปด้วยผู้คน ถนนสายหลักเรียงรายด้วยร้านค้าอาหารให้เลือกซื้อเลือกกินแทบทุกชาติทุกแบรนด์ แนะนำให้เดินจากฝั่งเหนือสู่ฝั่งใต้ เลียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ จะเจอเขตเมืองเก่า ชมตึกรามบ้านช่องแบบโบราณ แต่ถ้าชมจนจุใจแล้วอยากไปจุดวิวสวยๆ แนะนำให้ขึ้นไปยังยอดเขา Harder Kulm อยู่ห่างจากสถานีอินเทอร์ลาเคน โอสต์ เพียง 10 นาทีเดินเท่านั้น

 

แพะภูเขาในสวนสัตว์ทางขึ้น Harder Kulm

 

จากจุด Harder Kulm สามารถกระโดดร่มเล่นได้นะ

 

การเดินทางขึ้น Harder Kulm นิยมใช้วิธีนั่งรถรางโมโนเรลไต่ระดับด้วยความชันที่หวาดเสียว ค่าตั๋วไป-กลับอยู่ที่ 30 CHF สามารถใช้บัตร Swiss Pass ลดได้ ถ้าใครฟิตหน่อยอยากออกแรงก็มีทางเดินป่าเช่นกัน บริเวณตีนเขามีสวนสัตว์ขนาดเล็ก ระหว่างรอขบวนรถไฟสามารถเดินดูได้เพลิน มีทั้งแพะภูเขาและตัวตุ่น บนยอดเขามีร้านอาหารหนึ่งร้านตั้งเคียงคู่จุดชมวิวแบบพาโนรามา ที่ยื่นตัวออกไปจากยอดเขาให้เรายืนหวาดเสียวเล่นๆ จากยอดเขามองเห็นเมืองอินเทอร์ลาเคนได้ทั้งเมือง ประกบคู่ด้วยสองทะเลสาบมีฉากหลังเป็น 3 ยอดเขา จุงเฟรา, ไอเกอร์ (Eiger) และมองช์ (Mönch) ปกคลุมด้วยหิมะ คนสวิสนิยมมาจับจองโต๊ะตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน สั่งของกินเครื่องดื่มมากินแกล้มวิวรอชมฉากอาทิตย์ตก ประทับใจสุดๆ

 

จุดชมวิว Harder Kulm

 

มองไปทางซ้ายจะเห็นทะเลสาบเบรียนซ์

 

ยอดเขาจุงเฟรา

 

Jungfraujoch ยอดเขาสูงที่สุดในยุโรป

ฉายา Top of Europe ของยอดเขาจุงเฟราที่ได้ยินกันคุ้นหูไม่ได้หมายถึงยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรป หากแต่หมายถึงจุดชมวิวบนยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรปต่างหาก มองเห็นได้กว้างไกล ณ จุด 3,571 เมตร การขึ้นสู่ยอดเขาจุงเฟราสามารถทำได้โดยใช้รถไฟสาย Glacier Express รถไฟด่วนที่วิ่งช้าที่สุดในโลก วิ่งผ่านภูมิประเทศอันงดงามของเทือกเขาแอลป์ อุโมงค์ และสะพาน ตลอดเส้นทางปกคลุมด้วยหิมะ โดยเลือกขึ้นได้ 2 สถานีจาก 2 ฝั่งเขาคือ สถานี Grindelwald และสถานี Lauterbrunnen ลัดเลาะขึ้นไปเปลี่ยนรถไฟที่สถานี Kleine Scheidegg ซึ่งมีระดับความสูง 2,061 เมตร จากจุดนี้ต่อไปยังจุงเฟราระยะทาง 12 กิโลเมตร ทุกคนต้องโดยสายรถไฟฟันเฟือง ซึ่งเป็นรถโบราณคุณภาพสูงยามวิ่งลุยทางลื่นน้ำแข็ง

 

เข้าแถวขึ้นรถไฟ

 

Glacier Express รถไฟด่วนที่วิ่งช้าที่สุดในโลก

 

ระหว่างทาง

 

ภาพนักปีนเขาน้ำแข็งสะพายกระเป๋าใบเขื่องพร้อมไม้สกีคู่ใจมีให้เห็นเต็มขบวน นักเดินทางส่วนใหญ่มีทั้งชาวยุโรปและเอเชีย แต่ที่เห็นเยอะสุดคงเป็นเชื้อชาติอินเดีย คนอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดูมีความรักและเคารพภูเขาสูง พวกเขาเชื่อว่ายอดเขาสูงปกคลุมด้วยหิมะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า ยิ่งบวกความหมายของชื่อจุงเฟรา แปลว่า ‘สาวน้อย’ ด้วยแล้ว การมาเยือนจุงเฟราจึงเหมือนภารกิจทางศาสนากลายๆ

 

ระหว่างทางก็มีจุดชมวิวให้ชมเรื่อยๆ จุดละ 5 นาที

 

ไม่ใช่แค่คนนะ น้องสุนัขก็มาเล่นหิมะด้วย

 

มองไปทางไหนก็ขาวไปหมด

 

บนยอดจุงเฟราแน่นอนว่ารอบตัวช่างขาวโพลนแบบ 360 องศา ใครอยากเล่นสกีก็หอบอุปกรณ์กระโจนลงหิมะได้เลย ขอบอกว่านักเล่นแถวนี้เขาแล่นลงเขากันเป็นลูกๆ เฟี้ยวฟ้าวเต็มไปหมด ใครที่ถนัดออกกำลังแต่ถ้าอยากไปสัมผัสหิมะ แนะนำให้ขึ้นไปเผชิญความหนาวยังจุดชมวิวที่สุดของสถานี แนะนำให้เก็บข้าวของให้เรียบร้อยเสียก่อน เพราะลมแรงมากถึงมากที่สุด

 

จุดชมวิวที่สูงที่สุดบนยอดเขาจุงเฟรา

 

อุโมงค์ใต้ยอดเขาแข็งและลื่น

 

นอกจากภาพความสมบูรณ์ทางธรรมชาติของธารน้ำแข็งอเลิท์ซ (Aletsch) และยอดเขาน้ำแข็งต่างๆ ที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ณ จุดชมวิวที่สูงสุดนามว่า Sphinx ใต้พื้นน้ำแข็งลงไป 30 เมตร ยังมีอุโมงค์น้ำแข็งให้เดินเที่ยวชม และประติมากรรมแกะสลักด้วย บริเวณนี้ลื่นมาก แต่สนุกมาก

 

ภายในอุโมงค์มีนิทรรศการเกี่ยวกับจุงเฟราให้ดูตลอดทาง

 

สิ่งหนึ่งที่ฉันอยากฝากและไม่ชอบใจเลยทุกครั้งที่พบเจอเหตุการณ์แบบนี้ระหว่างเดินทางคือ การไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อบังคับที่ทางสถานที่วางไว้ให้เพื่อความปลอดภัยของนักเดินทางเอง ระหว่างที่ฉันเก็บภาพความงามของยอดเขา อยู่ๆ สายตาก็สะดุดลงด้วยการเห็นหญิงสาวนางหนึ่งก้าวผ่านเชือกกัน แล้วนั่งโพสท่าถ่ายรูปตรงปลายโขดหิน เบื้องล่างเป็นหน้าผาสูงชัน ลมแรง และง่ายต่อการพลัดตก ช้ำใจเป็นเท่าทวีเมื่อพบว่าคนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎดันเป็นคนเชื้อชาติเดียวกันอีก

 

การปฏิบัติตามข้อบังคับไม่ใช่เป็นเรื่องที่ควรละเลย ที่เจ้าหน้าที่กั้นเชือกไว้ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเองทั้งนั้น ดีที่วันนั้นไม่เกิดอุบัติเหตุใดๆ หากเกิดแล้วคงไม่ใช่เรื่องน่าภิรมย์ยิ่ง ทุกฝ่ายต้องเดือดร้อนเพียงเพราะการกระทำของคนคนเดียวเชื่อมต่อเป็นลูกโซ่ ฝากไว้เป็นข้อคิดและเตือนใจนะคะ