วันนี้ (19 กรกฎาคม) พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวถึงกรณีการปรับลด แก้ไข หรือถอยมาตรา 112 ว่าการแก้ไขมาตรา 112 เป็นเรื่องปกติ ไม่ได้เป็นความผิดอะไร เราแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญยังแก้ได้ ทำไมแก้กฎหมายอาญาจึงทำไม่ได้ ซึ่งตนเคยอภิปรายในสภา มาตรา 112 เป็นเพียงข้ออ้าง จะทำอย่างไรเมื่อเขาอ้างแบบนี้ ในวันที่ 19 กรกฎาคมที่มีการโหวตนายกฯ ของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ครั้งที่ 2 เป็นการผิดข้อบังคับหรือไม่
“ตรวจสอบได้ว่าผมไม่ได้ไปลงคะแนนกับเขา เพราะผมเห็นว่ามันผิดรัฐธรรมนูญ ถ้าผมไปร่วมลงคะแนนด้วยเท่ากับผมยอมรับเขา ผมไม่ลง ผมไม่ได้ไปไหน” พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์กล่าว
พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ยังระบุถึงกรณีที่มีการไปร้องผู้ตรวจการแผ่นดินว่า เราต้องพิจารณาว่าผู้ที่ร้องเป็นผู้ที่เสียหายหรือเกี่ยวข้องหรือไม่ ละเมิดสิทธิหรือไม่ ถ้าไม่ ผู้ตรวจการแผ่นดินก็จะไม่รับคำร้อง เพราะถ้ารับก็ผิด ซึ่งในวันพุธที่ 26 กรกฎาคมนี้ ตนจะไปยื่นร้องด้วยตนเอง ขอให้สมาชิกพรรคต่างๆ ช่วยลงชื่อให้ด้วย จะไปดำเนินการให้เพื่อปลดล็อกมติครั้งที่แล้วให้ได้ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เป็นการบังคับมาเรื่อย การเสนอผู้แทนของพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรีถูกบีบอย่างนี้ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 234 (1) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีอำนาจที่จะดำเนินการสืบสวนดำเนินคดีกับนักการเมืองที่ทุจริตมิชอบและทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญไปดำเนินการและฟ้องทีเดียว
ช่วงหนึ่งของการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงการลดเพดานมาตรา 112 กับ ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ซึ่งชัยธวัชระบุว่า ได้แถลงเรื่องนี้พร้อมกับ นพ.ชลน่านไปแล้ว และคงต้องรอพรรคเพื่อไทยมาปรึกษาหารืออีกครั้ง
โดยระหว่างนั้น พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ได้กล่าวว่า “ประเด็นนี้ผมขออนุญาตเพิ่มเติมนิดหนึ่ง คือทางฝ่าย ส.ว. จิ้มมาเลย ถ้ามีก้าวไกลก็ไม่เอาด้วย ชาติไทยพัฒนา ภูมิใจไทย ใครๆ ก็บอกว่ามีก้าวไกลก็ไม่เอาด้วย แต่ผมเห็นว่าก้าวไกลกับเพื่อไทยอยู่ร่วมกันมาโดยตลอด จะตัดเยื่อใยเลยก็ไม่ถูก เพราะฉะนั้นเพื่อไทยต้องรักษาก้าวไกลเอาไว้อยู่ร่วมกัน โดยก้าวไกลก็ควรจะสนับสนุนเพื่อไทยให้ยังมี 151 เสียงเพิ่มไปอีก จะได้ไม่หนักใจในการที่จะไปหา ส.ส. และ ส.ว. มาเพิ่ม
“มันเป็นเรื่องของก้าวไกลที่จะตัดสินใจจะทำอย่างไร ถ้ายังยืนยันอยู่ เพื่อไทยก็ไม่ผ่าน เชื่อผมสิ แต่ถ้าเสียสละก็พอไปได้ ก็เปรียบเสมือนผมพูดในที่ประชุมว่า เรืออยู่กลางทะเลกัน เรือมันล่ม มีคนแก่ ผู้หญิง มีเด็กมีอะไรต่างๆ แล้วเราคนหนุ่ม จะต้องขึ้นเรือก่อนเหรอ เราก็ต้องให้คนแก่ เด็กขึ้นไปก่อน เราก็ยอมเสี่ยงภัยไปเสียก่อน เมื่อเสี่ยงภัยเดี๋ยวเรือลำที่ 2 มาค่อยไป ไม่ใช่ไอ้หนุ่มกระโดดขึ้นเรือก่อน แล้วปล่อยให้ผู้หญิง ปล่อยให้เด็กผจญกรรม อย่างนั้นไม่ได้ ตอนนี้ต้องมีผู้เสียสละเพื่อให้ประชาธิปไตยไปได้ ถ้าไม่มีการเสียสละไปไม่ได้ เชื่อผมเถอะ” พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงที่ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์กล่าว เลขาธิการพรรคก้าวไกลนิ่งเงียบและมีสีหน้าเรียบเฉย พร้อมกับหันมามอง พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์เป็นบางช่วง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งก็ต้องเสียสละใช่หรือไม่ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า “ขอให้ไปดูการเลือกตั้งครั้งที่แล้วว่าใครได้คะแนนมากที่สุด เพื่อไทยใช่ไหม แต่ว่าทางพรรคพลังประชารัฐเขาแย่งจัด แต่คราวนี้ก้าวไกลได้ที่ 1 เพื่อไทยได้ที่ 2 ยังไม่แย่งจัดเลย ฉะนั้นต้องเห็นใจเพื่อไทยบ้าง เขามีโอกาสต้องช่วยเขา ยืนยันว่าหลักการไม่บิดเบี้ยว ประชาธิปไตย ต้องการบริหารประเทศหรือไม่ คราวที่แล้ว พล.อ. ประยุทธ์ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรียังต้องเสียสละกระทรวงสำคัญให้พรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์ทั้งหมด”
เมื่อถามว่า การให้สัมภาษณ์แบบนี้กลัวพรรคก้าวไกลโกรธหรือไม่ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า ไม่กลัวหรอก เราพูดความจริงและพูดด้วยความรัก ส่วนพรรคก้าวไกลจะไม่แตะมาตรา 112 เพื่อให้อยู่ด้วยกัน 8 พรรคนั้น เชื่อว่าพรรคก้าวไกลแตะเรื่องนี้อยู่แล้ว ภาพมันติดตาตรึงใจอยู่อย่างนั้น ไปไม่ได้หรอก เชื่อว่ามีทางออก แต่มีแล้วอย่าไปโชว์