ช่วง 2 วันทำการที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยดิ่งลงประมาณ 40 จุด จากราว 1,560 จุด มาแตะระดับ 1,520 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เบาบางลงเหลือเฉลี่ยไม่ถึงวันละ 4 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันก็ยังมีปัญหาการทุจริตของบริษัทหลักทรัพย์บางแห่งในตลาดเข้ามากระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนไม่มากก็น้อย
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดกำลังสั่นคลอนในยามที่หุ้นไทยกำลังติดลบอยู่เกือบ 9% นับแต่ต้นปี กลายเป็นตลาดหุ้นหลักที่อ่อนแอที่สุดในโลก แต่ในมุมของนักลงทุนสไตล์ VI อย่าง อนุรักษ์ บุญแสวง หรือที่รู้จักกันในนาม ‘โจ ลูกอีสาน’ เชื่อว่าเวลานี้เริ่มมีโอกาสในการซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าเพิ่มมากขึ้น
“ตอนหุ้นตกทุกคนก็คิดแบบนี้เป็นปกติ คนจะมองโลกในแง่ร้าย พอหุ้นขึ้นคนก็มองโลกในแง่ดี แต่เราควรโฟกัสหุ้นที่เราลงทุน ส่วนทิศทางการเมืองและเศรษฐกิจ เป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก ส่วนข้อมูลของแต่ละบริษัทเราพอจะรู้ได้มากกว่า”
โดยหลักการแล้ว ถ้าราคาหุ้นลดลงมาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นเราก็สามารถที่จะซื้อได้ในทุกสภาวะตลาด ซึ่งในช่วงที่ตลาดย่ำแย่ก็จะมีโอกาสเจอหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานเพิ่มมากขึ้น สำหรับหุ้นไทยในเวลานี้บางคนบอกว่าหากตัดหุ้น DELTA ออกไป ดัชนี SET ตอนนี้น่าจะเหลือเพียงประมาณ 1,450 จุด ซึ่งก็ถือว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างต่ำ หากไม่ใช่ช่วงที่เกิดวิกฤต
“โดยปกติแล้วหุ้นแต่ละตัวไม่ได้ลงพร้อมกันและไม่ได้ลงในอัตราเดียวกัน ตอนนี้บางตัวอาจเริ่มเก็บได้แล้ว แต่บางตัวก็ยัง เราควรดูเป็นรายตัวแทนที่จะดูภาพรวมทั้งตลาด”
อนุรักษ์กล่าวต่อว่า ตอนนี้เริ่มมองหาโอกาสในตลาดมากขึ้น “เราต้องคิดย้อนกับคนอื่น ยิ่งมีเสียงบ่น ยิ่งสื่อลงข่าวแง่ร้าย ยิ่งเป็นโอกาสสำหรับคนซื้อ”
แต่สิ่งที่ต้องยอมรับคือ หุ้นเติบโต (Growth Stock) ของไทยในเวลานี้มีน้อยลงเมื่อเทียบกับในอดีต อย่างไรก็ตาม เราไม่จำเป็นจะต้องหากำไรจากหุ้น Growth อย่างเดียว เราสามารถทำกำไรจากหุ้นวัฏจักรได้เช่นกัน ซึ่งหุ้นไทยส่วนใหญ่แล้วเป็นหุ้นวัฏจักร
“การลงทุนในเวลานี้ยังยึดมั่นกับหลักการเดิมคือประเมินมูลค่าก่อนซื้อและซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่า แต่จะมีการปรับเทคนิคบ้างเล็กน้อย เช่น กระจายพอร์ตลงทุนไปต่างประเทศ”
อนุรักษ์กล่าวทิ้งท้ายว่า “เวลาสินค้าอื่นลดราคาทุกคนดีใจ แต่พอเป็นหุ้นมักจะเสียใจ บางทีโอกาสจะเข้ามาในช่วงที่เราหดหู่ เราต้องใช้เหตุและผล ไม่ควรใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ อย่าปล่อยให้สภาวะตลาดทำให้เราหดหู่หรือฮึกเหิมจนเกินไป”